วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ระวังภัย โรคลึกลับที่โหดร้าย มาจากเนื้อสัตว์ ดิบ อันตรายสุด



ระวังภัย โรคลึกลับที่โหดร้าย มาจากเนื้อสัตว์ ดิบ อันตรายสุด จากบาดแผลเล็ก ๆ เชื้อมฤตยุในเนื้อสัตว์ดิบ ที่เป็นเมนูโปรด กลับทำให้เชื้อโรคลึกลับได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว กัดกินเนื้อเยื่อ ดังภาพที่เห็น

โปรดระวัง และ พึงหลีกเลี่ยงก่อน สายเกินแก้ โรคนี้กำลังระบาด และ ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้

+

----------------------------------------------------------

หญิงชาวศรีลังกาวัย 59 ปี คนนี้ เกิดอาการแผลติดเชื้อที่ใบหน้า แล้วลุกลามใหญ่โต ทำให้ใบหน้าของเธอหายไปครึ่งหนึ่ง


และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายในชีวิตของเธอ เมื่อแผลเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร เกิดติดเชื้อลุกลามที่ใบหน้าของเธอ จนแพทย์ของโรงพยาบาลที่ศรีลังกา ไม่สามารถรับมือได้อีกแล้ว จนในเวลานี้ แผลได้ลุกลามกินใบหน้าของเธอหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ล่าสุด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในอเมริกา ให้ความสนใจ และรับตัวไปทำการรักษาแล้ว
แผลติดเชื้อบนใบหน้า จนทำให้ใบหน้าหายไปครึ่งหนึ่ง(น่าสงสารมาก)
โพสต์โดย : healthman7
 












http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=43237

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดโปงเบื้องหน้า เบื้องหลัง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ระดับโลก

เปิดโปงเบื้องหน้า เบื้องหลัง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ระดับโลก
และยิ่งใหญ่ เป็นอันดับหนึ่งของโลกที่แหกตาผู้บริโภคมานานปี
เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในสถานที่สกปรกสุดโสโครกเต็มไปด้วยเชื้อโรค
มากมายเกินกว่าคำบรรยาย และ สุดแสนสลดหดหู่ ทรมาร
เพื่อนเหล่าสรรพสัตว์
 
อยากให้เพื่อน ๆ ได้ดู สถานที่จริง การผลิต สุดแสนสกปรก เต็มไปด้วย
เชื้อโรค มากมาย และ แสนอนาถ สลดหดหู่ต่อเพื่อน ร่วมโลก
จากเวปลิงค์  ข้างล่าง  ไทยเรา ก็มีปิดบังข้อเท็จจริง
 
 

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หมูขาดตลาดเหตุติดเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอส

หมูขาดตลาดเหตุติดเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอส

  • 26 กรกฎาคม 2554 เวลา 12:35 น. |


ภาคเหนือหมูแพงและขาดแคลน  หลังเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสระบาดหนัก ทำลูกหมูเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


นายสัจจะ อัตตะศิริ หัวหน้าด่านกักกันสัตว์จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ราคาเนื้อหมูแพงและขาดตลาดอยู่ในขณะนี้สาเหตุมาจากฟาร์มลูกหมูทั่วภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน และน่าน ประสบปัญหาหมูป่วยหรือหมุติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่าไวรัสพีอาร์อาร์เอสซึ่งติดเชื้อทางระบบสืบพันธุ์ และทางเดินหายใจ ทำให้ลูกหมูเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจึงไม่มีหมูส่งป้อนตลาด

นายสัจจะ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ด่านกักกันสัตว์และปศุสัตว์จังหวัดลำปาง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เร่งสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายหมูเข้ามาในพื้นที่ลำปางเพื่อสกัดเชื้อไวรัสแพร่ระบาด ที่ผ่านมาพบว่ามีการขนย้ายเครื่องในสุกร มากว่า 500 กิโลกรัม และได้มีการจับกุมส่งตำรวจ สภ.ห้างฉัตร ดำเนินคดีไปแล้ว

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตับห่าน อาหารหรูราคาแพงระยับ แต่แฝงด้วย ความ สลดหดหู่ ทรมารสัตว์

เมื่อ"ตับห่าน"ไม่หวานอีกต่อไป เยอรมันสั่งแบน"ฟัว กราส์"ในเทศกาลอาหารอ้างฝรั่งเศสทารุณสัตว์

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:30:00 น.


คณะผู้จัดงานเทศกาลอาหารชื่อดังของเยอรมนี มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการนำ "ฟัว กราส์" หรือตับห่าน เมนูอาหารชื่อดังของฝรั่งเศส มาร่วมแสดงในเทศกาลอย่างเด็ดขาด



ทั้งนี้ เทศกาลอาหารอานูก้า ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองโคโลญจ์ ในเดือนตุลาคมนี้ อ้างคำกล่าวของกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ที่ว่า การผลิตฟัว กราส์ มีกระบวนการที่บ่งชี้ว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ ซึ่งสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ผู้ผลิตอาหารชนิดนี้ในฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

โดยอ้างว่าการผลิตตับห่านเกี่ยวข้องกับการบังคับให้ห่านหรือเป็ด กินอาหารโดยที่พวกมันไม่เต็มใจ เพื่อให้ตับของมันเต็มไปด้วยไขมันมากกว่าปกติ โดยพวกมันต้องกลืนอาหารจากท่อที่ต่อเข้ากับปากของมัน เพื่อให้ตับมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติประมาณ 10 เท่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถูกสั่งห้ามในเยอรมนี แม้ว่าจะมีการบริโภคตับห่านอย่างแพร่หลายก็ตาม

ด้านนายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีเกษตรของฝรั่งเศส ได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปยังนางอิลเซ แอ็คเนอร์ รัฐมนตรีเกษตรเยอรมนี เพื่อให้มีการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว โดยกล่าวว่า เทศกาลครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจะได้พบปะกับผู้บริโภคโดยตรง และหากเยอรมนียังคงยืนยันคำสั่งเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เห็นว่าควรจะไปร่วมงานนี้แต่อย่างใด

นายเลอ แมร์ ยืนยันว่า ฝรั่งเศสได้ปฏิบัติตามกฏข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างดี ขณะที่นางแอ็คเนอร์กล่าวตอบว่า นี่เป็นเรื่องของคณะผู้จัดงานที่จะตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร

กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์เปิดเผยว่า มีเพียงร้อยละ 15 ของผู้ผลิตฟัว กราส์เท่านั้น ที่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของอียู ที่ห้ามไม่ให้มีการเลี้ยงสัตว์ปีกในกรงที่มีขนาดเล็กกว่าที่พวกมันจะสามารถขยับปีกได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี 2011 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ มีเป็ดราว 37 ล้านตัว และห่านประมาณ 7 แสนตัว ที่ถูกเชือดเพื่อนำตับของมันไปประกอบอาหาร การบังคับให้สัตว์ดังกล่าวกินอาหารเป็นสิ่งที่มีการปฏิบัติมาช้านาน ราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าชาวอียิปต์ใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อขุนให้สัตว์จำพวกเป็ดไก่อ้วนขึ้นหรือไม่

ตามบัญญัติกฎหมายข้อหนึ่งของฝรั่งเศส หรือที่เรียกกันว่า "ข้อห้ามทางวัฒนธรรม" ระบุไว้ว่า "ฟัว กราส์ คือส่วนหนึ่งของมรดกด้านวัฒนธรรมและศิลปะการรับประทานอาหารของฝรั่งเศส โดย "ฟัว กราส์" หมายความถึง "ตับของเป็ดหรือห่าน ที่ถูกทำให้สมบูรณ์อย่างเฉพาะเจาะจง โดยวิธีการบังคับกินอาหาร"

ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตฟัว กราส์ รายใหญ่กว่าร้อยละ 75 ของทั่วโลก โดยแหล่งผลิตอื่นๆ ได้แก่ สหรัฐฯและจีน
http://j-b-t.blogspot.com/2010/06/foie-gras-1500.html

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกินเนื้อสัตว์...ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?

การกินเนื้อสัตว์...ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?
อาจารย์สมภาร พรมทา

บทสรุป


ท้ายที่สุดแล้วพุทธทุกฝ่ายก็เห็นร่วมกันว่า

การถือมังสวิรัติเป็นดี การที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สาวกกินเนื้อสัตว์ได้

ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทนั้น

ควรเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกับการสนับสนุนให้กินเนื้อสัตว์

เป็นระบบที่คิดเผื่อให้มีทางออก

สำหรับสถานการณ์ที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้

เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงหนัง



โรงหนังนั้นต้องมีทางออกปิดเอาไว้


สำหรับคนที่มีภาระต้องออกไป ก่อนคนอื่น

หรือไม่ยินดีที่จะดูหนังต่อเพราะหมดสนุก

พระพุทธองค์ทรงคิดเช่นนี้

จึงทรงอนุญาตให้ชาวพุทธบริโภคเนื้อสัตว์ได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในอนาคตหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้ว

พุทธศาสนาอาจแพร่เข้าไปในดินแดนที่อาหารหลักของผู้คนคือเนื้อสัตว์

(เช่นบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปลูกพืชแทบจะไม่ได้เลย

มีแต่ปลาและเนื้อเท่านั้นที่ผู้คนจะกินเป็นอาหารได้)

การปิดประตูสนิทสำหรับการกินเนื้อสัตว์

จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แต่การมีประตูออกที่โรงหนัง

ไม่ได้แปลว่าเป็นการเชิญชวนให้ทุกคนออกมาจากโรงหนัง

การมีอยู่ของประตูนั้น

ควรเข้าใจว่ามีอยู่ในฐานะช่องทางสำหรับการเลือก

จริยธรรมแบบที่ไม่มีช่องทางสำหรับการเลือกเลยนั้น

พุทธศาสนาเถรวาทถือว่าเป็นจริยธรรมที่สุดโต่ง

การที่ฝ่ายมหายานมีความปรารถนา

ที่จะให้โลกนี้ลดการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารมนุษย์นั้น

ต้องถือว่าเป็นเจตนาดีอย่างไม่มีข้อสงสัย

ยิ่งในโลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์

กระทำในรูปธุรกิจที่มีการเลี้ยงสัตว์คราวละมากๆ
และฆ่าสัตว์เพื่อส่งตลาดคราวละมากๆ

ข้อเสนอของฝ่ายมหายานยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ

การที่เรายังกินเนื้อสัตว์อยู่
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความชั่วร้าย
ที่กลายเป็นระบบไปแล้วนี้ยังดำรงอยู่ต่อไป
________________________________________


ถูกปฏิบัติอย่างไม่มีคุณค่าโดยเจ้าของธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง

รอวันหนึ่งเมื่อเนื้อของมันจะให้ค่าตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ลงทุน


พวกมันก็จะถูกกวาดต้อนไปเชือด





นี่คือปาณาติบาตที่ทำอย่างเป็นระบบ เป็นวงจร

และอย่างปราศจากความสำนึกทางศีลธรรมใดใด

การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารบ้างในสังคมเกษตรกรรมนั้น

อาจถูกตั้งคำถามไม่มากนักในเชิงจริยธรรม

ชาวนาที่เลี้ยงไก้ไว้ในบ้านปฏิบัติต่อไก่นั้น

อย่างมนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อสรรพสัตว์

ให้อาหารมัน มีที่มีทางให้มันได้เดิน ได้วิ่ง

ได้เลี้ยงลูก ตามประสาของมัน


ถึงเวลาที่จำเป็นเขาอาจขอชีวิตพวกมันบางตัวเพื่อเป็นอาหาร

ปาณาติบาตในสภาพการณ็เช่นนี้ยังพอเป็นที่เข้าใจได้

แต่ไก่หรือหมูที่อยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์จำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวนั้น
ไม่มีคุณค่าหรือศักดิ์ใดใดหลงเหลืออยู่


ระบบที่ปฏิบัติต่อพวกมันก็ไม่ใช่ระบบของมนุษย์
(เมื่อเทียบกับที่ชาวนาเลี้ยงไก่)

สิ่งที่พุทธศาสนามหายานเรียกร้องชาวพุทธก็คือ

ทำไมเมตตาธรรมของเราจงไม่ควรที่จะเอื้อมาถึงสัตว์เหล่านี้

พวกมันไม่มีอำนาจต่อรองใดใด
ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากนรกบนดินนี้
นอกจากจะมีมนุษย์ผู้มีจิตใจประเสริฐมาช่วยเหลือ

เมตตาธรรมสำหรับฝ่ายมหายาน
นอกจากจะคือความรักและหวังดีต่อเพื่อสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ยังหมายถึงการจะไม่ยอมให้มีการกดขี่เบียดเบียนกัน

โดยที่เราไม่ยอมยื่นมือไปช่วยด้วย
เมตตาธรรมในความหมายหลังนี้
คือความมีน้ำใจ การคิดถึงผู้อื่น

และรู้สึกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังมีการกดขี่เบียดเบียนกัน
เราจะนิ่งดูดายคิดถึงแต่ความบริสุทธิ์ส่วนตัวไม่ได้

ชาวพุทธที่ปิดบ้านนั่งภาวนาเพื่อไปพระนิพพาน
โดยไม่มองออกไปข้างนอกบ้านว่าที่โน่นเขาทำอะไรกันบ้าง
จะถือว่ามีเมตตาได้หรือ

นี่คือคำถามที่ผู้วิจัยคิดว่าฝ่ายมหายานได้ตอบเอาไว้ชัด

ฝ่ายเถรวาทจะตอบคำถามนี้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่เราชาวเถรวาทจะต้องช่วยกันตอบ

การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นหลักการแก้ความชั่วร้ายโดยวิธีอหิงสาโดยแท้

เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องระบบการคุ้มครองสิทธิสัตว์

(คือเสนอให้มีกฏหมายยกเลิกการค้าขายเนื้อสัตว์)
อย่างที่ชาวตะวันตกบางพวกกำลังรณรงค์

เพราะการเสนอเช่นนั้นเป็นการสร้างการเผชิญหน้ากัน
สิ่งทื่เราสามารถทำได้ง่ายๆ ตรงไปตรงมาทันทีทันใด



คือ พยายามไม่กินเนื้อสัตว์
สำหรับชาวพุทธเถรวาท

คฤหัสถ์อาจถือมังสวิรัติได้ง่ายกว่าพระสงฆ์
เพราะเป็นผู้ที่สามารถเลือกได้

และคฤหัสถ์ที่ถือมังสวิรัตินั่นแหละ

ที่จะช่วยให้พระสงฆ์ถือมังสวิรัติได้อย่างง่ายดาย
ด้วยการถวายอาหารมังสวิรัติแก่ท่าน

พระสงฆ์ท่านไม่มีทางปฏิเสธการอุปถัมภ์ของชาวบ้านอยู่แล้ว
เราถวายสิ่งใดท่านก็ฉันสิ่งนั้น

แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่ของที่จะเลิกกระทำได้ง่ายๆ
เพราะระบบวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ที่เราถือกันเป็นหลักใหญ่ในโลกขณะนี้

เชื่อว่ามนษย์ถูกสร้างมาให้กินเนื้อสัตว์

เพื่อสร้างสมองของเด็กให้เจริญเติบโต

ถ้ามนุษย์ยังมีความจำเป็นบางประการ
ที่จะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่

จริยธรรมแบบทางเลือกที่พุทธศาสนาเถรวาทเสนอนั้น
ก็น่าที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุ

การกินเนื้อสัตว์บนพื้นฐานของความสำนึกว่า

ตนเองกำลังเอาเปรียบผู้อื่นจะเป็นแรงหน่วงดึงที่สำคัญ

ที่ไม่ได้ทำให้เด็กกินเพื่อความอร่อย
แต่เพราะความจำเป็น

ยิ่งพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอน
ที่บรรยายโทษของการประกอบอาชีพปาณาติบาต

(เช่นเรื่องนายโคฆาตก์และนายจุนทสูกริกใน “อรรถกถาธรรมบท”)
ว่าจะทำให้มีชีวิตที่เศร้าหมองอย่างไร

คำสอนนี้จะยิ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ประกอบอาชีพปาณาติบาต
โดยเฉพาะในเชิงอุตสาหกรรมมีความตระหนักคิดมากขึ้น

ฝ่ายมหายานนั้นรณรงค์ที่ผู้บริโภค
ส่วนฝ่ายเถรวาทก็รณรงค์ที่ผู้ผลิต

เมื่อผนวกจริยธรรมจากสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
การฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร


ก็คงจะลดลงจากโลกนี้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน



ระบบจริยธรรมของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น
สัตว์จำนวนมหาศาลต้องถูกเลี้ยงในสถานที่ที่แออัด
 
(คัดลอกบางตอนมาจาก :

 งานวิจัยเรื่อง “กิน : มุมมองของพุทธศาสนา”
โดยอาจารย์สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา
 โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ ๒๕๔๗, หน้า ๗๕-๗๘)

เมตตา สงสาร เหล่าสรรพสัตว์ ใหญ่ น้อย เพือนร่วมเสวย วิบากกรรม

ขอยกคำสอนเทศนาธรรม บางตอน ของ

หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง มา ณ ที่นี้

หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า
“ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ
คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้
แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ”

หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔
แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกัน
สำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง
สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ
พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน
อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก
มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด
เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ
หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด
ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลย
คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร
ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก
แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”


แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ
หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี
พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”


และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กินดีแค่ไหนก็ขี้ออกมาสกปรกเหมือนกัน เข้าแล้วก็ออกอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรนักหนา
ทำไมต้องไปเอาเลือดเนื้อของเขามาบำรุงบำเรอตน
หลวงพ่อเองก็กินผักกินหญ้าไปวันหนึ่งๆ ก็พออยู่ได้แล้ว”

--------------------------------------------------------------------------


ความเห็นจาก พระอาจารย์

อาตมามั่นใจว่าหากชาวพุทธปฏิบัติศีลข้อ ๑ อย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีเนื้อสัตว์กินแล้ว
เพราะไม่มีใครฆ่ามาขาย หรือฆ่ามากิน ยิ่งอาชีพที่ชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าห้ามอีก
เป็นมิจฉาอาชีพ(อาชีพที่ผิดเป็นบาป) ๕ ประการ คือ
๑.การค้าขายอาวุธ
๒.การค้าขายสัตว์เป็น
๓.การค้าขายเนื้อสัตว์
๔.การค้าขายยาพิษ
๕.การค้าขายสิ่งเสพติด มอมเมา

อนุโมทนาสาธุกับโยมที่มีความเห็นที่ถูกต้องใน

เรื่องนี้ ธรรมรักษา

พอสรุปได้ในตัว นอกจากสุขภาพ ที่ดีกว่า ยังทำให้ศีล มั่นคง เว้นจากการฆ่า สังหาร
เว้นบริโภคเนื้อสัคว์ เพื่อเมตตาธรรม ต่อสรรพสัตว์ เืพื่อนร่วมโลก