วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดโปงเบื้องหน้า เบื้องหลัง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ระดับโลก

เปิดโปงเบื้องหน้า เบื้องหลัง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ระดับโลก
และยิ่งใหญ่ เป็นอันดับหนึ่งของโลกที่แหกตาผู้บริโภคมานานปี
เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในสถานที่สกปรกสุดโสโครกเต็มไปด้วยเชื้อโรค
มากมายเกินกว่าคำบรรยาย และ สุดแสนสลดหดหู่ ทรมาร
เพื่อนเหล่าสรรพสัตว์
 
อยากให้เพื่อน ๆ ได้ดู สถานที่จริง การผลิต สุดแสนสกปรก เต็มไปด้วย
เชื้อโรค มากมาย และ แสนอนาถ สลดหดหู่ต่อเพื่อน ร่วมโลก
จากเวปลิงค์  ข้างล่าง  ไทยเรา ก็มีปิดบังข้อเท็จจริง
 
 

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หมูขาดตลาดเหตุติดเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอส

หมูขาดตลาดเหตุติดเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอส

  • 26 กรกฎาคม 2554 เวลา 12:35 น. |


ภาคเหนือหมูแพงและขาดแคลน  หลังเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสระบาดหนัก ทำลูกหมูเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


นายสัจจะ อัตตะศิริ หัวหน้าด่านกักกันสัตว์จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ราคาเนื้อหมูแพงและขาดตลาดอยู่ในขณะนี้สาเหตุมาจากฟาร์มลูกหมูทั่วภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน และน่าน ประสบปัญหาหมูป่วยหรือหมุติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่าไวรัสพีอาร์อาร์เอสซึ่งติดเชื้อทางระบบสืบพันธุ์ และทางเดินหายใจ ทำให้ลูกหมูเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจึงไม่มีหมูส่งป้อนตลาด

นายสัจจะ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ด่านกักกันสัตว์และปศุสัตว์จังหวัดลำปาง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เร่งสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายหมูเข้ามาในพื้นที่ลำปางเพื่อสกัดเชื้อไวรัสแพร่ระบาด ที่ผ่านมาพบว่ามีการขนย้ายเครื่องในสุกร มากว่า 500 กิโลกรัม และได้มีการจับกุมส่งตำรวจ สภ.ห้างฉัตร ดำเนินคดีไปแล้ว

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตับห่าน อาหารหรูราคาแพงระยับ แต่แฝงด้วย ความ สลดหดหู่ ทรมารสัตว์

เมื่อ"ตับห่าน"ไม่หวานอีกต่อไป เยอรมันสั่งแบน"ฟัว กราส์"ในเทศกาลอาหารอ้างฝรั่งเศสทารุณสัตว์

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:30:00 น.


คณะผู้จัดงานเทศกาลอาหารชื่อดังของเยอรมนี มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการนำ "ฟัว กราส์" หรือตับห่าน เมนูอาหารชื่อดังของฝรั่งเศส มาร่วมแสดงในเทศกาลอย่างเด็ดขาด



ทั้งนี้ เทศกาลอาหารอานูก้า ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองโคโลญจ์ ในเดือนตุลาคมนี้ อ้างคำกล่าวของกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ที่ว่า การผลิตฟัว กราส์ มีกระบวนการที่บ่งชี้ว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ ซึ่งสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ผู้ผลิตอาหารชนิดนี้ในฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

โดยอ้างว่าการผลิตตับห่านเกี่ยวข้องกับการบังคับให้ห่านหรือเป็ด กินอาหารโดยที่พวกมันไม่เต็มใจ เพื่อให้ตับของมันเต็มไปด้วยไขมันมากกว่าปกติ โดยพวกมันต้องกลืนอาหารจากท่อที่ต่อเข้ากับปากของมัน เพื่อให้ตับมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติประมาณ 10 เท่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถูกสั่งห้ามในเยอรมนี แม้ว่าจะมีการบริโภคตับห่านอย่างแพร่หลายก็ตาม

ด้านนายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีเกษตรของฝรั่งเศส ได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปยังนางอิลเซ แอ็คเนอร์ รัฐมนตรีเกษตรเยอรมนี เพื่อให้มีการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว โดยกล่าวว่า เทศกาลครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจะได้พบปะกับผู้บริโภคโดยตรง และหากเยอรมนียังคงยืนยันคำสั่งเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เห็นว่าควรจะไปร่วมงานนี้แต่อย่างใด

นายเลอ แมร์ ยืนยันว่า ฝรั่งเศสได้ปฏิบัติตามกฏข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างดี ขณะที่นางแอ็คเนอร์กล่าวตอบว่า นี่เป็นเรื่องของคณะผู้จัดงานที่จะตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร

กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์เปิดเผยว่า มีเพียงร้อยละ 15 ของผู้ผลิตฟัว กราส์เท่านั้น ที่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของอียู ที่ห้ามไม่ให้มีการเลี้ยงสัตว์ปีกในกรงที่มีขนาดเล็กกว่าที่พวกมันจะสามารถขยับปีกได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี 2011 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ มีเป็ดราว 37 ล้านตัว และห่านประมาณ 7 แสนตัว ที่ถูกเชือดเพื่อนำตับของมันไปประกอบอาหาร การบังคับให้สัตว์ดังกล่าวกินอาหารเป็นสิ่งที่มีการปฏิบัติมาช้านาน ราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าชาวอียิปต์ใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อขุนให้สัตว์จำพวกเป็ดไก่อ้วนขึ้นหรือไม่

ตามบัญญัติกฎหมายข้อหนึ่งของฝรั่งเศส หรือที่เรียกกันว่า "ข้อห้ามทางวัฒนธรรม" ระบุไว้ว่า "ฟัว กราส์ คือส่วนหนึ่งของมรดกด้านวัฒนธรรมและศิลปะการรับประทานอาหารของฝรั่งเศส โดย "ฟัว กราส์" หมายความถึง "ตับของเป็ดหรือห่าน ที่ถูกทำให้สมบูรณ์อย่างเฉพาะเจาะจง โดยวิธีการบังคับกินอาหาร"

ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตฟัว กราส์ รายใหญ่กว่าร้อยละ 75 ของทั่วโลก โดยแหล่งผลิตอื่นๆ ได้แก่ สหรัฐฯและจีน
http://j-b-t.blogspot.com/2010/06/foie-gras-1500.html

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกินเนื้อสัตว์...ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?

การกินเนื้อสัตว์...ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?
อาจารย์สมภาร พรมทา

บทสรุป


ท้ายที่สุดแล้วพุทธทุกฝ่ายก็เห็นร่วมกันว่า

การถือมังสวิรัติเป็นดี การที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สาวกกินเนื้อสัตว์ได้

ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทนั้น

ควรเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกับการสนับสนุนให้กินเนื้อสัตว์

เป็นระบบที่คิดเผื่อให้มีทางออก

สำหรับสถานการณ์ที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้

เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงหนัง



โรงหนังนั้นต้องมีทางออกปิดเอาไว้


สำหรับคนที่มีภาระต้องออกไป ก่อนคนอื่น

หรือไม่ยินดีที่จะดูหนังต่อเพราะหมดสนุก

พระพุทธองค์ทรงคิดเช่นนี้

จึงทรงอนุญาตให้ชาวพุทธบริโภคเนื้อสัตว์ได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในอนาคตหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้ว

พุทธศาสนาอาจแพร่เข้าไปในดินแดนที่อาหารหลักของผู้คนคือเนื้อสัตว์

(เช่นบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปลูกพืชแทบจะไม่ได้เลย

มีแต่ปลาและเนื้อเท่านั้นที่ผู้คนจะกินเป็นอาหารได้)

การปิดประตูสนิทสำหรับการกินเนื้อสัตว์

จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แต่การมีประตูออกที่โรงหนัง

ไม่ได้แปลว่าเป็นการเชิญชวนให้ทุกคนออกมาจากโรงหนัง

การมีอยู่ของประตูนั้น

ควรเข้าใจว่ามีอยู่ในฐานะช่องทางสำหรับการเลือก

จริยธรรมแบบที่ไม่มีช่องทางสำหรับการเลือกเลยนั้น

พุทธศาสนาเถรวาทถือว่าเป็นจริยธรรมที่สุดโต่ง

การที่ฝ่ายมหายานมีความปรารถนา

ที่จะให้โลกนี้ลดการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารมนุษย์นั้น

ต้องถือว่าเป็นเจตนาดีอย่างไม่มีข้อสงสัย

ยิ่งในโลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์

กระทำในรูปธุรกิจที่มีการเลี้ยงสัตว์คราวละมากๆ
และฆ่าสัตว์เพื่อส่งตลาดคราวละมากๆ

ข้อเสนอของฝ่ายมหายานยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ

การที่เรายังกินเนื้อสัตว์อยู่
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความชั่วร้าย
ที่กลายเป็นระบบไปแล้วนี้ยังดำรงอยู่ต่อไป
________________________________________


ถูกปฏิบัติอย่างไม่มีคุณค่าโดยเจ้าของธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง

รอวันหนึ่งเมื่อเนื้อของมันจะให้ค่าตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ลงทุน


พวกมันก็จะถูกกวาดต้อนไปเชือด





นี่คือปาณาติบาตที่ทำอย่างเป็นระบบ เป็นวงจร

และอย่างปราศจากความสำนึกทางศีลธรรมใดใด

การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารบ้างในสังคมเกษตรกรรมนั้น

อาจถูกตั้งคำถามไม่มากนักในเชิงจริยธรรม

ชาวนาที่เลี้ยงไก้ไว้ในบ้านปฏิบัติต่อไก่นั้น

อย่างมนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อสรรพสัตว์

ให้อาหารมัน มีที่มีทางให้มันได้เดิน ได้วิ่ง

ได้เลี้ยงลูก ตามประสาของมัน


ถึงเวลาที่จำเป็นเขาอาจขอชีวิตพวกมันบางตัวเพื่อเป็นอาหาร

ปาณาติบาตในสภาพการณ็เช่นนี้ยังพอเป็นที่เข้าใจได้

แต่ไก่หรือหมูที่อยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์จำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวนั้น
ไม่มีคุณค่าหรือศักดิ์ใดใดหลงเหลืออยู่


ระบบที่ปฏิบัติต่อพวกมันก็ไม่ใช่ระบบของมนุษย์
(เมื่อเทียบกับที่ชาวนาเลี้ยงไก่)

สิ่งที่พุทธศาสนามหายานเรียกร้องชาวพุทธก็คือ

ทำไมเมตตาธรรมของเราจงไม่ควรที่จะเอื้อมาถึงสัตว์เหล่านี้

พวกมันไม่มีอำนาจต่อรองใดใด
ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากนรกบนดินนี้
นอกจากจะมีมนุษย์ผู้มีจิตใจประเสริฐมาช่วยเหลือ

เมตตาธรรมสำหรับฝ่ายมหายาน
นอกจากจะคือความรักและหวังดีต่อเพื่อสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ยังหมายถึงการจะไม่ยอมให้มีการกดขี่เบียดเบียนกัน

โดยที่เราไม่ยอมยื่นมือไปช่วยด้วย
เมตตาธรรมในความหมายหลังนี้
คือความมีน้ำใจ การคิดถึงผู้อื่น

และรู้สึกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังมีการกดขี่เบียดเบียนกัน
เราจะนิ่งดูดายคิดถึงแต่ความบริสุทธิ์ส่วนตัวไม่ได้

ชาวพุทธที่ปิดบ้านนั่งภาวนาเพื่อไปพระนิพพาน
โดยไม่มองออกไปข้างนอกบ้านว่าที่โน่นเขาทำอะไรกันบ้าง
จะถือว่ามีเมตตาได้หรือ

นี่คือคำถามที่ผู้วิจัยคิดว่าฝ่ายมหายานได้ตอบเอาไว้ชัด

ฝ่ายเถรวาทจะตอบคำถามนี้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่เราชาวเถรวาทจะต้องช่วยกันตอบ

การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นหลักการแก้ความชั่วร้ายโดยวิธีอหิงสาโดยแท้

เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องระบบการคุ้มครองสิทธิสัตว์

(คือเสนอให้มีกฏหมายยกเลิกการค้าขายเนื้อสัตว์)
อย่างที่ชาวตะวันตกบางพวกกำลังรณรงค์

เพราะการเสนอเช่นนั้นเป็นการสร้างการเผชิญหน้ากัน
สิ่งทื่เราสามารถทำได้ง่ายๆ ตรงไปตรงมาทันทีทันใด



คือ พยายามไม่กินเนื้อสัตว์
สำหรับชาวพุทธเถรวาท

คฤหัสถ์อาจถือมังสวิรัติได้ง่ายกว่าพระสงฆ์
เพราะเป็นผู้ที่สามารถเลือกได้

และคฤหัสถ์ที่ถือมังสวิรัตินั่นแหละ

ที่จะช่วยให้พระสงฆ์ถือมังสวิรัติได้อย่างง่ายดาย
ด้วยการถวายอาหารมังสวิรัติแก่ท่าน

พระสงฆ์ท่านไม่มีทางปฏิเสธการอุปถัมภ์ของชาวบ้านอยู่แล้ว
เราถวายสิ่งใดท่านก็ฉันสิ่งนั้น

แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่ของที่จะเลิกกระทำได้ง่ายๆ
เพราะระบบวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ที่เราถือกันเป็นหลักใหญ่ในโลกขณะนี้

เชื่อว่ามนษย์ถูกสร้างมาให้กินเนื้อสัตว์

เพื่อสร้างสมองของเด็กให้เจริญเติบโต

ถ้ามนุษย์ยังมีความจำเป็นบางประการ
ที่จะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่

จริยธรรมแบบทางเลือกที่พุทธศาสนาเถรวาทเสนอนั้น
ก็น่าที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุ

การกินเนื้อสัตว์บนพื้นฐานของความสำนึกว่า

ตนเองกำลังเอาเปรียบผู้อื่นจะเป็นแรงหน่วงดึงที่สำคัญ

ที่ไม่ได้ทำให้เด็กกินเพื่อความอร่อย
แต่เพราะความจำเป็น

ยิ่งพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอน
ที่บรรยายโทษของการประกอบอาชีพปาณาติบาต

(เช่นเรื่องนายโคฆาตก์และนายจุนทสูกริกใน “อรรถกถาธรรมบท”)
ว่าจะทำให้มีชีวิตที่เศร้าหมองอย่างไร

คำสอนนี้จะยิ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ประกอบอาชีพปาณาติบาต
โดยเฉพาะในเชิงอุตสาหกรรมมีความตระหนักคิดมากขึ้น

ฝ่ายมหายานนั้นรณรงค์ที่ผู้บริโภค
ส่วนฝ่ายเถรวาทก็รณรงค์ที่ผู้ผลิต

เมื่อผนวกจริยธรรมจากสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
การฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร


ก็คงจะลดลงจากโลกนี้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน



ระบบจริยธรรมของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น
สัตว์จำนวนมหาศาลต้องถูกเลี้ยงในสถานที่ที่แออัด
 
(คัดลอกบางตอนมาจาก :

 งานวิจัยเรื่อง “กิน : มุมมองของพุทธศาสนา”
โดยอาจารย์สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา
 โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ ๒๕๔๗, หน้า ๗๕-๗๘)

เมตตา สงสาร เหล่าสรรพสัตว์ ใหญ่ น้อย เพือนร่วมเสวย วิบากกรรม

ขอยกคำสอนเทศนาธรรม บางตอน ของ

หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง มา ณ ที่นี้

หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า
“ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ
คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้
แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ”

หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔
แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกัน
สำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง
สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ
พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน
อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก
มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด
เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ
หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด
ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลย
คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร
ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก
แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”


แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ
หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี
พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”


และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กินดีแค่ไหนก็ขี้ออกมาสกปรกเหมือนกัน เข้าแล้วก็ออกอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรนักหนา
ทำไมต้องไปเอาเลือดเนื้อของเขามาบำรุงบำเรอตน
หลวงพ่อเองก็กินผักกินหญ้าไปวันหนึ่งๆ ก็พออยู่ได้แล้ว”

--------------------------------------------------------------------------


ความเห็นจาก พระอาจารย์

อาตมามั่นใจว่าหากชาวพุทธปฏิบัติศีลข้อ ๑ อย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีเนื้อสัตว์กินแล้ว
เพราะไม่มีใครฆ่ามาขาย หรือฆ่ามากิน ยิ่งอาชีพที่ชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าห้ามอีก
เป็นมิจฉาอาชีพ(อาชีพที่ผิดเป็นบาป) ๕ ประการ คือ
๑.การค้าขายอาวุธ
๒.การค้าขายสัตว์เป็น
๓.การค้าขายเนื้อสัตว์
๔.การค้าขายยาพิษ
๕.การค้าขายสิ่งเสพติด มอมเมา

อนุโมทนาสาธุกับโยมที่มีความเห็นที่ถูกต้องใน

เรื่องนี้ ธรรมรักษา

พอสรุปได้ในตัว นอกจากสุขภาพ ที่ดีกว่า ยังทำให้ศีล มั่นคง เว้นจากการฆ่า สังหาร
เว้นบริโภคเนื้อสัคว์ เพื่อเมตตาธรรม ต่อสรรพสัตว์ เืพื่อนร่วมโลก

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สารเร่งโต หรือ โฮโมนในเนื้อสัตว์ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งร้ายหลายชนิด




http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=22128

ข่าวโด่งดัง จาก สหรัฐ

สารเร่งโต หรือ โฮโมนที่ใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ วัว หมู ไก่ อันตรายต่อสุขภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยโรคมะเร็ง ร้าย หลายชนิด ในมนุษย์ ซึ่งผู้ป่วยกว่า ร้อย ล้านคนทั่วโลกที่นิยมชมชอบการบริโภคเนื้อ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ ที่พบการป่วยเป็นอันดับต้น ๆ

ข้อมูลอ้างอิงจาก
วารสารโรคมะเร็งแห่งสหรัฐ

อ้างอิงจากเวป

http://www.all-creatures.org/health/fh-linked.html

http://world-wire.com/news/0910210001

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ : ประเด็นข้อเท็จจริง

พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ : ประเด็นข้อเท็จจริง


โดย พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙, Ph.D)


สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ ภิกษุณีอุบลวรรณาอยู่ในกรุงสาวัตถี เข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตเข้าไปพักผ่อนในป่าอันธวัน ขณะนั้น พวกโจรลักโค ฆ่าชำแหละเอาเนื้อ ย่างสุกแล้วคัดเลือกเนื้อดีเอาใบไม้ห่อแขวนไว้ใกล้ภิกษุณีอุบลวรรณา โดยมีเจตนาจะถวายภิกษุณีอุบลวรรณารู้เจตนาจึงถือเอาเนื้อนั้นเหาะไปยังพระ เวฬุวันวิหารฝากเนื้อไว้กับพระอุทายี เพื่อน้อมนำไปถวายพระพุทธเจ้า

กินเนื้อสัตว์ผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ?

เกณฑ์ในการตัดสินว่ามีการล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ มีอยู่ ๕ ประการ คือ

๑) สัตว์มีชีวิต

๒) รู้ว่าเป็นสัตว์มีชีวิต

๓) มีจิตคิดจะฆ่า

๔) มีความพยายาม

๕) สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น



เมื่อ องค์ประกอบครบ ๕ อย่างนี้ ถือว่าผิดศีลหรือล่วงละเมิดศีลข้อนี้ ถ้าไม่ครบก็ถือว่ายังไม่ล่วงละเมิด แต่ชื่อว่าทำให้ศีลข้อนี้ทะลุ (ขาดตรงกลาง) ทำศีลข้อนี้ให้ด่าง ทำให้ศีลข้อนี้พร้อมเพราะฉะนั้น ต่อคำถามที่ว่า กินเนื้อสัตว์ผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ? จึงตอบได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) ฆ่ากินเองผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่จะเหมาะสมหรือไม่เป็นประเด็นที่จะอภิปรายต่อไป แต่ก่อนที่จะอภิปรายกฎหมายบ้านเมืองพูดถึงการสมรู้ร่วมคิดกันกระทำความผิด การมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกินเนื้อสัตว์ที่คนอื่นฆ่า เช่นไปซื้อมาจากตลาด สั่งให้เขาจัดหาไว้ให้แล้วไปซื้อเอา หรือคนอื่นนำมาให้เพราะรู้จักกัน กินในลักษณะอย่างนี้ ธรรมเนียมพระสงฆ์ถือว่ามีความผิด



กินเนื้อสัตว์เหมาะสมหรือไม่ ?

๑) ประเด็นทั่วไป

คำว่า “ถูกต้อง” กับคำว่า “เหมาะสม” มีนัยต่างกัน “ถูกต้อง” หมายถึง
ไม่ผิดบทบัญญัติด้านพระวินัยหือศีลธรรม ส่วนประเด็นเกี่ยวกับความเหมาะสมหรือ
ไม่เหมาะสม ต้องอภิปรายคำว่า “สุจริต” กับคำว่า “ยุติธรรม” ก่อน ซึ่งทั้ง ๒ คำนี้มี
นัยต่างกัน คำว่า “สุจริต”มีนัยบ่งถึงความถูกต้องเชิงศาสนา เช่น พระพุทธศาสนา
แสดงกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ กล่าวเฉพาะกายสุจริต ๓ คือ

๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์
๒) เว้นจากการลักฉ้อ
๓) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

จะเห็นว่า กายสุจริตข้อหนึ่งคือเว้นจาการฆ่าสัตว์ คนที่มีกายสุจริตอย่างหนึ่งคือ
เว้นจากการฆ่าสัตว์ รักษาศีล ข้อปาณาติบาตบริสุทธิ์บริบูรณ์

ส่วน คำว่า “ยุติธรรม” มีนัยบ่งถึงความเหมาะสม ยอมรับ เช่น ในกระบวนการยุติธรรม
ทางศาล การตัดสินคดีบางอย่างอาจถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องยอมรับ
ว่าในบางคดีอาจไม่ถูกต้องนัก คนที่ทำผิดมากอาจผิดน้อยขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานคน
ที่ผิดน้อยอาจผิดจาก ถ้าหาเหตุผลมาแสดงความบริสุทธิ์ไม่ได้

๒) ประเด็นเฉพาะ

๒.๑ คฤหัสถ์กินเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ย่อมไม่ผิดศีลทุกกรณี

๒.๒ พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่างผิดพระวินัย แม้จะเป็นเนื้อ
ชนิดอื่นจากเนื้อต้องห้าม ถ้าไม่บริสุทธิ์ด้วยเงื่อนไข ๓ อย่างดังกล่าว
ถือว่าผิดพระวินัยเช่นเดียวกัน

มีคำอยู่ ๓ คำที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อตอบคำถามที่ว่ากินเนื้อสัตว์เหมาะสมหรือไม่
คือ ๑) ศีลธรรม หรือวินัย หรือกฎหมาย ๒) สุจริต ๓) ยุติธรรม เรื่อง ของ
ศีลธรรมหรือวินัย หรือกฎหมายเป็นเรื่องของหลักการ ผิดก็คือผิด มีบทกำหนด
โทษชัดเจน ถ้าเป็นศีลธรรมหรือวินัยของพระภิกษุสามเณรก็เป็นทางใจ โทษทางสังคม
ถ้าเป็นกฎหมายบ้านเมืองก็ทางแพ่งทางอาญาแล้วแต่กรณี เรื่องที่สุจริตหรือไม่สุจริต
เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามหลักธรรมทางศาสนา
ส่วนเรื่องยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม แบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ

ส่วนที่ ๑ เป็นข้อเท็จจริง เช่น กรณีการอ้างสิทธิที่จะพึงมีพึง
ได้เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งได้สิทธิ
ย่อมมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเสียสิทธิ การได้สิทธิถือเป็นความยุติธรรม
สำหรับกลุ่มที่ได้สิทธิ
แต่ถามว่า ยุติธรรมสำหรับกลุ่มที่เสียสิทธิหรือไม่ ?
หรือกรีการกินเนื้อสัตว์ เมื่อมีการกินเนื้อสัตว์ ก็ย่อมมี
การฆ่าสัตว์ ผู้ที่กินอาจคิดว่า สัตว์อื่นเกิดมาเป็นอาหารของเรา
เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะกินอะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า


ชีวิตของสัตว์จำนวนมากถูกทำลายไป นี่เป็นข้อเท็จจริง

ส่วนที่ ๒ เป็นความรู้สึก เช่น กรณีการเลื่อนขั้นเงินเดือนของเจ้าหน้าที่
ในหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีตำแหน่งเท่ากัน ทำงานในกลุ่มเดียวกันแต่ได้
รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนไม่เท่ากัน นาย ก. ทำงานดีเอาใจใส่ต่องาน
มีประสิทธิภาพในการทำงาน ประสิทธิผลของงานดีกว่า จึงได้รับการ
เลื่อนเงินเดือนมากกว่า นาย ก. รู้สึกมันยุติธรรมสำหรับตัวเองแล้วที่ได้
ทุ่มเทมาตลอดทั้งปี นาย ข. ไม่เอาใจใส่ต่อการงาน ประสิทธิภาพใน
การทำงานต่ำ ประสิทธิผลของงานก็ต่ำ จึงได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน
ต่ำกว่า แต่ นาย ข. รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเอง เพราะตัวเองมีตำแหน่ง
เท่ากับนาย ก. และทำงานเดียวกันอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับนาย ก. นี่เป็นความรู้สึก

สรุป ได้ว่า คฤหัสถ์กินเนื้อสัตว์ถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ย่อมไม่ผิดศีลและเป็น
พฤติกรรมสุจริต แต่ไม่ยุติธรรมแน่นอน พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ผิดเงื่อน
ไขดังกล่าวข้างต้น ย่อมไม่ผิดพระวินัย และเป็นพฤติกรรมสุจริต
แต่ไม่ยุติธรรมเช่นเดียวกัน ถามว่า “เพราะเหตุไร ? จึงไม่ยุติธรรม”

สามัญ สำนึกบอกให้ทราบว่า “สัตว์ทุกตัวตนรักสุข เกลียดทุกข์
สัตว์ทุกชนิดรักชีวิต รักตัวกลัวตาย” การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดการฆ่าสัตว์
แม้ผู้กินจะไม่ได้ฆ่าเอง แต่การกินทำให้เกิดการฆ่าทังโดยตรงและโดยอ้อม
อาจมีคำโต้แย้งว่า “ถึงเราไม่กิน คนอื่นก็กิน สัตว์ต่าง ๆ ก็กินกันและกัน
เป็นอาหาร สัตว์ก็ต้องถูกฆ่าอยู่นั่นเอง” คำโต้แย้งนี้ไม่เป็นสากล
เราน่าจะถามในประเด็นอื่น ๆ บ้าง เช่น

๑) มนุษย์กินอาหารประเภทอื่นที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ?

๒) การ กินเนื้อสัตว์ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าเอง แต่ก็มีส่วนส่งเสริมให้เกิดการ
ฆ่าสัตว์เหมือนกรณีรัฐบาลทุ่มงบประมาณซื้อมัน สำปะหลัง ถึงแม้รัฐบาล
จะไม่ได้ปลูกเอง แต่ก็มีส่วนส่งเสริมให้มีการปลูกมันสำปะหลังมากขึ้น ใช่หรือไม่ ?

๓) ทุก คนรู้ว่าการดื่มกาแฟมีผลเสียต่อสุขภาพ ไม่อยากจะให้มีการผลิตกาแฟ
แต่ทุกคนก็ยังดื่มกาแฟ การที่ทุกคนดื่มกาแฟมีผลทำให้ยังมีการผลิตกาแฟอยู่ใช่หรือไม่ ?



ความสรุป

: พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ



พระ พุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่ชีวิตมาก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของสัตว์ประเภท
ไหนล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความจริง ๒ ระดับ คือ

(๑) ระดับโลกิยะ
(๒) ระดับโลกุตตระ

ใน ระดับโลกิยะ พระพุทธศาสนาเห็นว่ามีความบกพร่องมากมีคำพูดอยู่
ประโยคหนึ่งที่พระภิกษุ สามเณรในครั้งพุทธกาลพูดอยู่เสมอ เมื่อเกิดการณี
ผิดพลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของท่าน
ไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นความผิดของวัฎฎะ” คำว่า “วัฎฎะ”
ก็คือสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง
เมื่อคราวตรัสรู้ไม่น่าน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

“เรา แสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ
มีความเกิดเป็นอเนก ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป เราได้พบนายช่างผู้ทำ
เรือนแล้วเจ้าจักทำเรือน (คืออัตภาพของเรา) ไม่ได้อีกต่อไปซี่โครง
ทั้งหมดของเจ้า เราหักแล้ว ยอดเรือน (คืออวิชชา) เรารื้อแล้ว จิตของเรา
ได้ถึงนิพพานมีสังขารไปปราศแล้ว เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว”

พระ พุทธพจน์นี้ทำให้สรุปได้ว่า การเกิดมาในโลกในระดับโลกิยะ
มีปัญหาติดตัวมากมาก สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะเป็นอาหารของสัตว์อื่น
เช่น หมู่ ปลา ไก่ สัตว์ขางตนเกิดมาอยู่ในฐานะต้องกินสัตว์เป็นอาหารอย่างเดียว
โดยที่ตัวเองมีเนื้อเป็นพิเศษสำหรับสัตว์อื่น แม้แต่มนุษย์ที่ขอบกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร
เนื้อของมนุษย์เองก็เป็นอาหารของสัตว์อื่นบางจำพวก นี่คือสังสารวัฎ

ชาว ประมงมีอาชีพหาปลาขาย ฆ่าปลาขาย ฆ่าปลาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พวกเขาทำผิดหลักธรรมข้อสุจริต
ล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต และวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ยุติธรรมสำหรับปลา
แม้กระนั้นขาวประมงก็ยังต้องดำรงชีพโดยการจับปลาขายต่อไป
เกษตรกรเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาก็อยู่ในฐานะเดียวกัน คนที่มีอาชีพฆ่าหมู

เพื่อชำแหละเนื้อออกขายในท้องตลาดก็อยู่ในฐานเดียวกัน นี่คือข้อจำกัดหรือโทษของสังสารวัฏ

ใน ระดับโลกุตตระ วิถีชีวิตบริสุทธิ์จากข้อจำกัดเหล่านี้ สัมมาอาชีวะหรือสัมมาอาชีพซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ จึงหมายถึง การดำรงชีพที่ชอบเว้นจากอาชีพที่เป็นการเบียดเบียนชีวิต เช่น การค้าอาวุธแม้จะถูกต้องตามกฎหมาย การค้าแรงงานมนุษย์ การค้ายาพิษ การค้าน้ำเมา

ประเด็น เกี่ยวกับมังสวิรัติก็เช่นเดียวกัน การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่อง
ของแต่ละบุคคล ประเด็นสำคัญคืออย่าฆ่าสัตว์เมื่อพระเทวทัตต์เข้าไปเฝ้า
กราบทูลขออนุญาต วัตถุ ๕ ประการ วัตถุข้ออื่น ๆ พระพุทธเจ้าตรัสกับ
พระเทวทัตต์ “อย่าเลยเทวทัตต์ภิกษุใดปรารถนาก็จงทำไปเถิด เช่น
ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า” ส่วนข้อที่เกี่ยวกับการฉันปลาและเนื้อ
พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระเทวทัตต์ว่า “เราอนุญาตปละและเนื้อที่บริสุทธิ์
ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒) ไม่ได้นึกสงสัย (๓) ไม่ได้นึกสงสัย”
จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้คำว่า “ผู้ใดปรารถนาจงฉันปลาและเนื้อ”
พระพุทธเจ้าดำรัสนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ถามว่า “

อะไรคือนัยสำคัญแห่งพระพุทธดำรัสนี้ ?”

พระพุทธดำรัสว่า “เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อาการ ...”
หมาย ถึง ไม่ได้ตั้งข้อกำหนดไว้ วางไว้เป็นกลาง ๆ ไม่ได้กำหนดแม้แต่จะบอกว่า “
ผู้ใดปรารถนาก็จง ...” เพราะฉะนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นกลาง ๆ
อย่างนี้ ในทางปฏิบัติจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม จะถูกหรือผิด
พระภิกษุต้องเทียบเคียงกับหลักที่เรียกว่า “มหาปเทศ” ๒ ข้อ คือ

(๑) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า “สิ่งนี้ไม่ควร” ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ใน
กลุ่มสิ่งที่ไม่ควร แย้งกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร

(๒) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า “สิ่งที่ไม่ควร” ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ใน
กลุ่มสิ่งที่ควร แย้งกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร

เมื่อ พระภิกษุเทียบเคียงถือปฏิบัติอย่างนี้ย่อมไม่ผิดพระวินัยแต่อย่างที่กล่าวมา
แล้วว่า วิถีชีวิตระดับโลกิยะ มีโทษมาก มีข้อบกพร่องมาก
เช่นกรณีการกินเนื้อสัตว์ แม้จะเป็นเนื้อที่ไม่ต้องห้ามต้องพิจารณาก่อนฉัน
ถ้าไม่พิจารณาย่อมผิดพระวินัย ซึ่งต้องการให้พระภิกษุหรือแม้แต่คน
ที่ไม่ใช่พระภิกษุสำนึกอยู่เสมอว่า การกินเนื้อสัตว์แม้จะไม่ได้ฆ่าสัตว์
ก็ถือว่ามีส่วนทำให้ชีวิตถูกทำลาย ถ้าไม่กินจะดีกว่าหรือไม่ ?
ส่วนวิถีชีวิตระดับโลกุตระนั้น ย่อมบริสุทธิ์จากอกุศลเจตนาทุกประการ
พระพุทธศาสนาสรุปชัดเจนในประเด็นว่า ฆ่าสัตว์ผิดศีลผิดวินัย
บางกรณีผิดกฎหมายบ้านเมืองกินเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ไม่ผิด
[color=#4040BF]ถ้าเป็นพระภิกษุฉันผิดเงื่อนไข ผิดพระวินัย ถ้าไม่ผิดเงื่อนไข
ไม่ผิดพระวินัย นั่นเป็นเรื่องของศีลของคฤหัสถ์และพระวินัยของ
พระภิกษุ แต่อย่าลืมว่า ฆ่าสัตว์กับกินเนื้อสัตว์เป็นคนละประเด็น
กินเนื้อสัตว์ในกรณีที่แม้จะไม่ผิดศีลหรือพระวินัย แต่ส่งผลต่อคน/
สัตว์รอบข้างและอุปนิสัยจิตใจของผู้กินแน่นอน ในลังกาวตารสูตร
แสดงเหตุผลที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์สรุปได้ว่า “ในสังสารวัฏ
คนที่ไม่เคยเป็นบิดามารดา ไม่เคยเป็นพี่น้องกัน ไม่มี สัตว์ทุกตัวตน
มีความสัมพันธ์ทั้งสิ้นไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง” เพราะฉะนั้น กินเนื้อสัตว์วันนี้
เราอาจกำลังกินเนื้อของสัตว์ที่เคยเป็นบิดามารดาของเราในชิตที่แล้วมา

หรือใน อีก ๕ ชาติข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงผลเสียของการ
กินเนื้อสัตว์ไว้ เช่น ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของสัตว์ต่าง ๆ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น
ทำให้ชื่อเสียงไม่ดีกระจายไป
[/color]
ข้อมูลจากเวป

วัดปากน้ำภาษีเจริญ

http://www.watpaknam.org/knowledge/view.php?id=15

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชาวพุทธ กับ อาหารมังสะวิรัติ เพื่อ เมตตาบารมี

ชาวพุทธ กับ อาหารมังสะวิรัติ เพื่อ เมตตาบารมี

---------------------------------------------------------------------------

ชาวพุทธ กับ อาหารมังสะวิรัติ เพื่อ เมตตาบารมี

พระครุพิพัฒน์วรกิตต์

เจ้าอาวาสวัดเขาตะเกียบ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

ขอให้ท่านทั้งหลายฟัง ใน ฐานะที่พระบรมศาสดาสัมมาพุทธเจ้า

ของเราทั้งหลายได้เคยตรัสไว้แต่เป็นที่น่า เสียใจ คัมภีร์ฉบับนั้น
ถูกฉีกทิ้งหายไป มีในมหายาน แต่ในหินยานหาย แล้วพอเรามาเป็นเถรวาทยิ่งไม่มีเลย
ในศีลห้า

เราเริ่มต้นที่ ศีลข้อที่ 1 ปาณาติบาต

การ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเราให้ไม่ฆ่าสัตว์
แต่พระพุทธเจ้าของเราบังเอิญไม่ใช่ฮิตเลอร์ ไม่ใช่จอมพลสฤษดิ์
จึงไม่สั่งห้ามทุกคนกินเนื้อสัตว์ด้วย
มีปัญหาถามอยู่เรื่อยว่า คนที่กินเนื้อสัตว์กับคนฆ่าสัตว์ ใครบาปมากกว่ากัน?
ก็ บอกว่าบาปทั้งคู่ บาปเท่ากัน ผู้บริโภคก็บาป ผู้ฆ่าก็บาป ผู้ขายก็บาป
มันเป็นวงจร แต่บางคนแย้งว่า สมัยหนึ่งพระเทวทัตทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอให้บรรดาสาวกของพระองค์ทั้ง หลายนั้นงดเว้นจากการบริโภคเนื้อสัตว์

พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต เขาจึงจับประเด็นนี้เอาพูดกัน
ตรงนี้ถ้าจะพูดถึงความถูกผิด คงเถียงกันไม่จบแต่เน้นว่าสัตว์ก็มีหัวใจ น้ำตาไหล บางตัวร้องด้วยเสียงแห่งความหวาดกลัว บางตัวอุจจาระราดเพราะเขารักชีวิตเหมือนเรารักชีวิตของเรา แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้มันร้องสุดขีด มันดิ้นหนีเอาชีวิตรอด จนบางครั้งหายไปสองอาทิตย์ มนุษย์ซึ่งมีใจเป็นยักษ์ตามจับมาจนได้ไม่มีใครไปซื้อหาชีวิตมัน ก่อนตายมันร้องไห้ คงคิดถึงสามีภรรยา บุตร หรือญาติเหมือนกับมนุษย์ สัตว์ก็มีหัวใจ แต่ขณะที่เราบริโภคอาหาร เราบริโภคด้วยกิเลส เราไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้



เรารักสนุกกับทุกข์สาหัส นี่เราจะเลือกอย่างไร?

การบริโภคเป็นของสนุก แต่ชีวิตของคนอื่นเป็นทุกข์แสนสาหัส
น่า สังเวชใจเหลือเกินที่ชั่วชีวิตของคนเราตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งแก่

จนถึงตายในที่สุด ไม่เคยพ้นจากการฆ่าถ้าสัตว์เดรัจฉานพูดได้

คงบอกว่ามนุษย์คือยักษ์ เริ่มแรกคลอดออกมาจากครรภ์มารดา ก็เลี้ยงฉลองด้วยการฆ่าชีวิตเพียงไม่นานครบเดือนก็ฆ่าเลี้ยงกันอีก ครบขวบก็ฆ่ากันอีก จนกระทั่งอายุครบบวชก็ฆ่ากันอีก ฉลองบุญก็ฆ่า เจริญเติบโตก็ฆ่า แต่งงานก็ฆ่า วันเกิดก็ฆ่า ทำบุญก็ฆ่า เราคุ้ยเคยอยู่กับการฆ่าตลอด เราฆ่ามาไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชีวิตในชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง
เราทำตัวเป็นป่าช้าเดินได้ คน ตายแล้วต้องเอาไปฝังไปเผาในป่าข้า
แต่เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ถูกฆ่าตาย ทั้งเนื้อและกระดูกที่ถูกตัดเป็นชิ้น
คนแย่งกันกินลงท้อง เ
ข้าไปอยู่ในตัวเราเอง คนกินเนื้อสัตว์อุปมาเหมือนป่าช้าเคลื่อนที่
สามารถฝังซากศพของสัตว์ตายโหง อย่างไม่รู้จักเต็ม โดยจะฝัง

อยู่ในตัวเราตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ถ้าให้เดินในป่าช้าตอนเที่ยงคืน
ครึ่งรอบ
ขนจะลุกเกลียวกลัวผี แต่หารู้ไม่ว่าในตัวเรามีสัตว์เดรัจฉานไม่รู้กี่แสนตัว

ฝังในท้องเราตั้งแต่ เกิดท่านไม่กลัวบ้างหรือ คนมีวิญญาณ
สัตว์ก็มีวิญญาณเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็เฉพาะสังขาร
รูปกายภายนอกเท่านั้นคนกลัวภูตผีปีศาจ กลัวซากศพ แล้ว
ทำไมไม่กลัวเนื้อสัตว์สัตว์ก็มีวิญญาณเหมือนคน มีขันธ์ห้าเหมือนคน

ทำไมเรากลัววิญญาณคน แต่ไม่กลัววิญญาณสัตว์

จึงอยากจะชี้ให้เห็นว่า เราสะสมบาปเวรไว้จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเรา
ถ้า หยุดบริโภคเนื้อสัตว์ เราอาจช่วยชีวิตสัตว์เป็นพันๆ ตัวต่อชีวิตของเรา
ยิ่งน่าสงสารที่บางคนเจ็บป่วยเจียนจะตาย เรียกร้องอยากจะมีชีวิต
แต่กลับไปฆ่าสัตว์เพื่อไปเซ่นไหว้ วิงวอนต่อเทพเจ้าเพื่อขอชีวิตตัวเอง
เรา จะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าฉงน ที่บางคนต้องมาตายในงานวันเกิดตัวเอง
บางบ้านมีลูกมาก็กลายเป็นสาปแช่งให้ลูกฉิบหายตายเร็ว

บางชีวิตมีอำนาจวาสนาอยู่ดีๆ ก็ต้องถูกฆ่า บางคนทำไมอายุสั้น

บาคนตายอายุยังน้อย บางคนกำลังประสบความสำเร็จ กำลังจะดัง ตายซะแล้ว ยังไม่ทันแก่เลย เพราะชาติที่แล้วเขาบกพร่องในศีลข้อที่ 1 เขาสร้างปาณาติบาตมาก ชาตินี้เขาเลยมีอายุสั้น นี่คือผลจากกรรม กฎแห่งกรรมนั้นใครหนีไม่พ้น คนที่ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทำเรื่องเลวร้าย สร้างสมบาปเวรไว้มาก ทุบตี ทรมาน ทั้งกิน ทั้งฆ่า เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายถูกฆ่า เมื่อตายไปจิตวิญญาณก็ตกร่วงลงสู่นรกภูมิ



เมื่อพูดถึงอาหารมังสวิรัติ คน ส่วนใหญ่จะกังวลถึงเรื่องสารอาหารไปต่างๆ

นานา กลัวว่าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอและทำให้อ่อนแอ

แม้ว่าปัจจุบันทรรศนคตินี้ยังคงมีอยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ยังปิดกั้น

ตนเองอยู่ก็ตาม แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ให้การรับรองยืนยันแล้วว่า .... เป็นทรรศนคติที่ผิด


พระครุพิพัฒน์วรกิตต์

เจ้าอาวาสวัดเขาตะเกียบ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำสารภาพของวิญญาณบาป

คำสารภาพของวิญญาณบาป

เรื่องที่ ๖
อัตวินิบาตกรรม

นพ. อาจินต์ บุณยเกตุ

โพสท์ในเวบธรรมจักร ลานหนังสือธรรมะ โดย TU 27-07-2547

http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_book&No=305&page=3



ผมมีความอยากรู้อยากทราบเหมือนกับหลายๆ คน ที่อยากทราบในขณะนี้ว่า ก็รู้ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การทำให้ชีวิตผู้อื่นได้รับความทุกข์ความทรมานนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้ามในศาสนาพุทธ แต่ก็ยังมีการกระทำชนิดนี้อยู่ในแวดวง อาทิ การจับปลา ฆ่าสัตว์น้ำ ทั้งน้ำเค็มน้ำจืด การฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เพื่อความสนุก ความเพลิดเพลิน หรือฆ่ามาเป็นอาหาร ทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการละเว้นศีลข้อแรกนั้น ก็เป็นคนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับผม แต่ก็อ้างว่า ไม่บาป เพราะมันเป็นอาหาร ไม่ฆ่าก็ไม่มีกิน เพราะคนเราเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชทั้งเนื้อ

แต่พอวันพระหรือไปวัดที ก็รับศีลทุกที พอรับแล้วก็ทำการละเมิดต่อไปอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย นอกจากจะห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใดก็ตามแล้ว ท่านยังทรงสอนให้แผ่เมตตา ให้อภัยแก่ทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย ด้วยกันนี้อีกด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้แหละจะทำให้โลกทั้งโลกเป็นสุขสว่างว่างเว้นจากการเบียดเบียนกัน

เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นดังนี้ ผมมีโอกาส จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อในเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ได้รับคำตอบจากท่าน คือ

บาปทั้งนั้น ไม่มีเว้น แม้แต่เพียงทำให้เขาบาดเจ็บทนทุกข์ทรมานมากน้อย หรือไม่เพียงไรก็ตาม แม้แต่การฆ่าตัวของตัวเอง ก็บาป และก็บาปมากด้วย แต่มันก็เป็นเวร เป็นวิบากของเขา ที่ต้องเกิดมาเป็นสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ชนิดใด มันเป็นอบายทั้งสิ้น คือ ตัดความเจริญ ตัดทางบุญทางกุศล

มนุษย์เท่านั้นที่มีโอกาสทำบุญ ทำกุศล ซึ่งอาจจะทำจนถึงที่สุด คือ ไม่มีอะไรจะเป็นบุญเป็นกุศลให้ทำต่อ นั่นคือ สำเร็จอรหัตผล

แต่สัตว์นั้นไม่มีโอกาส แม้จะฉลาดแสนรู้เพียงไร เขาก็ยังเป็นสัตว์ ที่ไม่มีโอกาสจะบำเพ็ญความดีได้ จะเป็นชาติก่อน สัตว์อาจจะประกอบกรรมอะไรไว้ วิบากจึงส่งให้มาเกิดเป็นสัตว์อีก สัตว์หาความสุขไม่ได้ เขาอาจจะเกิดเป็นช้าง ม้า วัว ควาย อูฐ ฯลฯ ให้เขาใช้งานหนักตลอดชีวิต หรือ มิฉะนั้นก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหาร สัตว์อาจจะฆ่ากันเอง กินกันเองอย่างที่เห็นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมของเขาที่ต้องให้เกิดเป็นสัตว์ เขาก็ต้องถูกฆ่าใช้กรรม

ยกตัวอย่างปลา วันหนึ่งๆ อาจจะต้องถูกฆ่าเป็นล้านๆ ตัว หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ วัว ควาย วันละกี่ล้านตัว เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ทำให้เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์อย่างนี้ นี่อย่างหนึ่ง คือเขาเกิดมาใช้กรรม วิบากส่งมาให้เป็นอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะเขาเกิดมารับกรรม มาใช้กรรม นี่ในด้านของสัตว์ที่เกิดมาถูกฆ่า ถูกทารุณถูกใช้งานหนักต่างๆ

ทีนี้งานของมนุษย์ที่ทำปาณาติบาต คือ เข่นฆ่า ทำลายชีวิต หรือเบียดเบียนสัตว์ที่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายด้วยกัน ยังไงๆ เขาก็ต้องตาย ไม่ต้องไปฆ่าเขา จะถือว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตใจไม่ได้ ทุกชีวิตย่อมรักและหวงแหนชีวิตของตน ไม่มีชีวิตใดที่อยากตาย การอยากตายนั้นมันมี แต่มันมีสาเหตุ มีปัจจัยการฆ่าตัวตายจึงเกิดขึ้นทั้งคนและสัตว์

เมื่อทุกชีวิต กลัวความตาย ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย การให้เขาต้องตายตกไปนั้น จะไม่บาปได้อย่างไร อย่างนี้ต้องคิดถึงตัวเราเองว่า เรากลัวเจ็บ กลัวตายไหม

การฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ของมนุษย์เรา เมื่อมากๆ เข้า หนักๆ เข้า วิบากก็ส่งผลให้เกิดการตายหมู่เสียทีหนึ่ง อย่างการสู้รบกัน การสงคราม มันก็ฆ่ากันเองก็จะมากขึ้นๆ จนถึงล้างโลกไปเลย

นอกจากนั้น ธรรมชาติยังเป็นผู้ตัดสินกรรมนั้นเสียอีกด้วย อาทิ แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม พายุกระหน่ำ น้ำท่วม ฟ้าผ่า อุบัติเหตุตายหมู่ต่างๆ คนเราก็ตายกันทีละมากๆ อย่างภูเขาไฟระเบิด แต่ละทีผู้คนก็เดือดร้อน สูญเสียชีวิตกันมากๆ ในแต่ละครั้ง ดังนี้เป็นต้น นี่คือ วิบากที่มาตอบสนองมนุษย์ที่เข่นฆ่ากันเอง ฆ่าสัตว์ต่างๆ ไว้มาก

เพราะฉะนั้น การช่วยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า จึงได้กุศล เหมือนกันกับหลวงพ่อที่ช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มกุฏิ ทั้งบนกุฏิและใต้ถุนกุฏิ

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ย่อมทำให้มีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ไม่ทำกาลกิริยาตายด้วยอาการอันทุกข์ทรมานไร้สติ

การเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตต่างๆ ย่อมปลอดภัยในทุกที่ ไปไหนมีแต่มิตร ยิ่งมีเมตตาประกอบด้วย แม้จะไปในป่าพงดงดิบอย่างไรก็ปลอดภัย เพราะการไม่เบียดเบียนและการมีเมตตานี้ จะเป็นเกราะกำบังภยันตรายทั้งปวง”

ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า “ก็แล้วการที่คนเราฆ่าตัวตายล่ะขอรับ ไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใคร เขาทำของเขาเอง จะมีผลอย่างไรขอรับกระผม”

หลวงพ่อตอบว่า “มีซิ และก็เป็นบาปมากด้วย เพราะชีวิตเขาก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน คนที่ฆ่าตัวตายนั้น มันเป็นอกุศลกรรม วิบากติดตัว ก็จะต้องฆ่าตัวตายอีกทุกชาติทุกภพ”

ผมกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า “ก็ถ้าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ ไม่อาจจะทำมาหากินหรือช่วยตัวเองได้ ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หรือต้องทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างสุดที่จะทนทานได้ เขาเหล่านั้นจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพื่อให้พ้นการทนทุกข์ทรมานนั้น จะเป็นบาปหรือไม่ขอรับ”

หลวงพ่อตอบว่า “นั่นเขาหนีวิบากมากกว่า วิบากกรรมยังไม่หมด ไม่สามารถทนกับวิบากได้ เขาก็ตัดสินใจหนีไป วิบากที่เหลือก็ต้องติดตามข้ามชาติข้ามภพกันต่อไป ไปใช้ผลแห่งกรรมนั้นๆ ที่ตนได้ประกอบไว้ ไม่ว่าชีวิตไหน เพราะฉะนั้น การฆ่าตัวตายหนีทุกข์ หนีกรรม จึงไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด อย่าว่าแต่อกุศลวิบาก คือผลกรรมชั่วเลย แม้แต่กุศลวิบาก คือผลแห่งกรรมดี มันก็เหมือนกัน ติดตามไปสนองผู้ประกอบกรรมดีนั้นตลอดไปเหมือนกัน ถ้าชาตินี้ยังเก็บเกี่ยวผลบุญไม่หมด บุญก็ยังตามสนองในชาติภพต่อไปอีกจนหมด ไม่ว่าจะไปเกิดในภพในภูมิใด”่

ผมกราบเรียนถามท่านว่า “แล้วผู้ที่ทำชั่วแต่ได้ดี มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ข้าทาสบริวารมากมายล่ะขอรับ..... มันเป็นได้อย่างไร”

หลวงพ่อกรุณาให้ความสว่างว่า............

“ต้องแยก กรรมที่ทำไว้เก่า คืออดีตกรรมและกรรมที่ทำในปัจจุบัน ผลบุญที่ทำไว้ในอดีตตามมาสนองยังไม่หมด เรียกว่า บุญเก่า กับกรรมปัจจุบันที่ทำในขณะนี้ในชาตินี้

กรรมมันไม่หักล้างกัน ทำไว้อย่างไร ก็ได้อย่างนั้น เมื่อผลแห่งกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีต ไม่ต้องชาติปางก่อนหรอก ชาตินี้ก็เถอะ ยังตอบสนองไม่หมด ผลบุญคือความสุข อันประกอบด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ติดตามมาสนอง ทำให้นึกว่า ทำชั่วได้ดี มันไม่ใช่หรอก เมื่อผลบุญจางลง ผลแห่งอกุศลธรรมก็โผล่ให้เห็น ผลมันตรงกันข้าม กับที่เคยได้รับทุกประการ ทำให้บางคนทนวิบากนี้ไม่ได้ ถึงได้คิดหนีวิบาก คิดฆ่าตัวตาย หนีควานทุกข์ ความอัปยศ แต่มันหนีไม่พ้นหรอก

เหมือนคนโดดลงไปในน้ำ จะไม่ให้ตัวเปียกน้ำได้อย่างไร ใครโดดลงไปคนนั้นก็เรียกก็เปียกก็เปื้อน คนที่ไม่ได้กระโดดลงไป จะเปียกจะเปื้อนด้วยก็หาไม่ จะอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงมาช่วยให้หายเปื้อน หายเปียกนั้นน่ะ ไม่มีหรอก โดดลงไปเองตัวก็เปื้อนเอง จะให้ใครช่วยน่ะ ไม่มี มันเฉพาะตัวของตัว

ก็มีมากมายหลายรายที่เคยมีสุขมีบุญวาสนา ร่ำรวย แต่ต้องมาติดคุกติดตะราง นั่นเป็นเพราะหมดผลบุญและผลบาปตามมาสนอง ทำดีมันก็ดี ทำชั่วมันก็ชั่ว สุดแต่ว่าจะช้าจะเร็วเพียงใดเท่านั้น”

ผมได้โอกาส จึงกราบเรียนถามท่านถึงการฆ่าตัวตาย ที่ท่านเคยเอ่ยถึงทันทีว่า

“คนที่ฆ่าตัวตายนั้น ฆ่าเพราะหนีวิบาก แล้วคนที่โดดน้ำตายเมื่อเร็วๆ นี้ โดยศพอืดขึ้นลอยมาวนเวียนอยู่หน้าบ้านผู้ตาย ที่ท้องคุ้งโน้นล่ะขอรับ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงขอรับ”

ท่านพยักหน้าแล้วว่าจะเล่าให้ฟัง..........

ณ ที่แห่งนั้น จิตวิญญาณสุดจะคณานับ ทั้งเกิดใหม่ทั้งดับ วนเวียนอยู่ เพื่อรอรับวิบากแห่งตน จิตวิญญาณใหม่อีกดวงหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาในกลุ่มอย่างช้าๆ.....

“อ้าว มาแล้วหรือ อยู่ด้วยกันหยกๆ หายหน้าไปหน่อยเดียว มาอีกแล้วไปไหนมาล่ะ” จิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม

“ก็ไม่หน่อยนะ ไปเกิดอยู่บนโลกมนุษย์มา ไปอยู่โน่นมาร่วม 30 ปี”

“30 ปีโลกมนุษย์นี่ มันไม่กี่อึดใจของพวกเราที่นี่เลย” ดวงจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่กำลังรับวิบากแห่งกรรมเอ่ยขึ้น

“นี่น่ะ เราต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆ อย่างนี้ มานับด้วยเดือน ด้วยปีที่นี่แล้ว เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมเสียทีก็ไม่รู้”

“แล้วไปโลกมนุษย์น่ะ ทำอะไรไว้เหรอ” จิตวิญญาณนั้นถาม

“ก็มันสุดที่จะทนทุกข์ทั้งกายทั้งใจได้ ฉันก็ต้องฆ่าตัวตายหนีทุกข์อีก ทีนี้วิบากก็เอาตัวมา ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับกรรมที่นี่นานเท่าไหร่อีก”

“เรื่องมันเป็นอย่างไรล่ะ” จิตวิญญาณนั้นถามและอีกหลายๆ ดวงที่เร่เข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังคำบอกเล่า คำสารภาพของวิญญาณดวงนี้

“ฉันหมดเวรหมดกรรมจากการทนทุกข์ทรมานที่นี่แล้ว ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่เนื่องด้วยบุญเก่ามีน้อย แม้จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่อับโชค อับวาสนา ไปเกิดเป็นลูกเมียน้อยเขา แม่น่ะอยากให้เกิดมาเป็นลูก แต่พ่อไม่อยากให้เกิด เพราะถ้าเกิดมามันก็จะยุ่งยากกับครอบครัวใหญ่ของเขา พ่อจึงเอายาฆ่าเด็กในท้องมาให้แม่ฉันกิน

แม่ฉันไม่ยอมกินยาที่พ่อให้ ก็ถูกบังคับเคี่ยวเข็ญทุกวัน จนที่สุดแม่ก็ต้องกิน กินด้วยความขมขื่นใจ แต่เผอิญฉันฟักตัวอยู่ในท้องหลายเดือนแล้ว ยาทำอะไรได้ไม่มาก แต่มันก็รบกวนเอาอยู่ สุดท้ายเมื่อฉันเกิดมาก็ไม่สมประกอบเท่าไรนัก ความเฉลียวฉลาดก็น้อยกว่าพี่ๆ หน้าตาก็ขี้เหร่กว่า แต่แม่ฉันก็รักใคร่ทะนุถนอมดังดวงใจมาตลอด

ฉันไม่ถึงกับพิกลพิการจนแลเห็นชัด แต่มันพิการทางสมองมากกว่า กว่าฉันจะพูดได้ก็อายุเกือบ 2 ปีเหมือนกัน แถมยังพูดไม่ชัด เหมือนคนปากแหว่งเสียด้วย

หมอดูคนหนึ่ง ดูให้พ่อแม่ฉัน เขาบอกว่า “เด็กที่เกิดมานี้จะนำลาภมาให้”

พอฉันเกิดมาไม่นาน ฐานะของพ่อก็ดีขึ้นๆ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น คุณหลวง เงินเดือนก็มากขึ้น หน้าที่การงานก็สูงขึ้น แถมยังได้รับมรดกเป็นที่นา ที่อำเภอบางปะหัน มากมายอีกด้วย

แต่ทั้งนี้ตัวฉันเอง กลับถูกดูถูกเหยียดหยามตลอดเวลาจากพวกพี่ๆ และแม่บ้านใหญ่ เขาแกล้งฉันต่างๆ เวลาพ่อไม่อยู่ เขาใช้ฉันยิ่งกว่าทาสทั้งๆ ที่ฉันอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น ฉันต้องทำงานหนักเหลือเกิน ตรงกันข้ามกับพี่ๆ 3 คน ลูกบ้านใหญ่ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เรียนหนังสือที่วัดข้างบ้าน พอเสร็จกลับบ้านก็เล่นทั้งวัน ฉันต้องหาบน้ำ ผ่าฟืน ถูบ้าน กวาดบ้าน แล้วก็ยังโดนหาเรื่องให้ถูกเฆี่ยนตีทุกเมื่อเชื่อวัน

เขาทารุณกับฉันที่สุด แม่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่ร้องไห้ พ่อฉันก็ไม่รู้ พ่อฉันก็โชคดีอยู่เรื่อยๆ เงินทองไหลมาเทมาจนเป็นเศรษฐีในบางนั้น หมอดูก็มาเตือนว่า “ฉันนี่แหละเป็นตัวนำโชคมาให้”

พ่อเริ่มสงสารฉัน แบ่งเงินไว้ก้อนหนึ่ง มันก็มากพอดู เพื่อเอาไว้ให้ฉัน เงินนี้ฝากไว้ที่แม่ แล้วก็จะโอนที่นาให้ฉันอีก 50 ไร่ เอาไว้กินค่าเช่าเลี้ยงตัว เพราะฉันความรู้น้อย ทำมาหากินไม่ได้

ต่อมา แม่ก็ตาย แม่ตายฉันอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้นเอง

ช่วงที่ฉันมีอายุได้สิบกว่าขวบก็แอบไปเรียนหนังสือ ที่วัดข้างบ้านที่พี่ๆ เขาเรียนกัน ท่านพระครูท่านสงสาร ท่านก็สอนให้ สอนอยู่หลายปี พออ่านออกเขียนได้ แต่ฉันก็ถูกแม่บ้านใหญ่เฆี่ยนทุกวัน หาว่าฉันไม่ทำงานหนีไปเล่น ความจริงฉันไปเรียนหนังสือที่วัดน่ะ

ฉันก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้เรื่อยมา พอแม่ตาย พ่อฉันก็เอาเงินที่ฝากแม่ไว้ไปเก็บ กลัวฉันทำหาย หรือไม่ก็กลัวถูกเขาโกง พอฉันอายุได้ราวๆ 18 ปี พ่อฉันก็ตายอีก ทรัพย์สมบัติที่พ่อให้ถูกแม่บ้านใหญ่เก็บหมด ฉันไม่ได้อะไรเลย ที่ดินที่พ่อจะให้ก็ไม่ได้ กลายเป็นของพี่ๆ ลูกบ้านใหญ่หมด พี่น้องฉันไม่มี ต้องอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่ตัวคนเดียวแท้ๆ ฉันต้องทำงานบ้านหนักยิ่งกว่าลูกจ้าง โดนดุโดนด่าทุกวัน

พอว่าง มีเวลาที่แม่บ้านใหญ่ไม่อยู่ ฉันก็แอบไปหา ไปร้องไห้กับท่านพระครูที่วัด ซึ่งท่านก็ไม่ทราบว่าจะช่วยอย่างไร ได้ปลอบโยนไปว่า “กรรมของเอ็ง”

พอต่อมา พี่บ้านใหญ่ทั้ง 3 คน เขาเป็นหนุ่มขึ้น เขาก็เที่ยวเตร่ใช้เงินอย่างสบาย ส่วนฉันต้องกินทีหลัง กินข้าวเหลือเขา มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

เวลาผ่านไปจนฉันอายุได้ 20 กว่าปี ทำอะไรก็เหนื่อย เดินก็เหนื่อย อยู่เฉยๆ ก็หอบ ฉันทนไม่ไหว ท่านพระครูท่านสงสาร ก็พาไปหาหมอ หมอตรวจอาการแล้วบอกว่าฉันเป็น โรคหัวใจรั่ว มาตั้งแต่เกิดไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้ ได้แต่จ่ายยามาให้พอบรรเทาอาการเหนื่อย ฉันไม่มีเงินจะให้ค่ายาค่าหมอ ก็ได้ท่านพระครูท่านเมตตา ช่วยจ่ายค่ายาให้ ให้ฉันมาต้มกินเอง เป็นยาหม้อใหญ่พอดู

ฉันกินๆ ยาไป มันก็ดีหรอก แต่ที่ทำให้ฉันลำบากก็คือ เขาให้นอนพักนิ่งๆ ไม่ให้ทำอะไรที่มันจะเหนื่อย แต่ฉันทำไม่ได้ ลองนอนพักอยู่วันเดียวเท่านั้น แม่บ้านใหญ่ตวาดเสียบ้านแทบแตกว่า “วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่กินกับนอน เลี้ยงหมายังดีกว่า มันยังเห่ายังหอนได้”

ฉันไม่มีปัญญาจะบอก จะกล่าวว่าไม่สบาย เพราะถึงแม้จะพูดอย่างไรๆ เขาไม่เชื่อ แถมยังจะไล่ฉันออกจากบ้านเสียอีก กรรมของฉันแท้ๆ เหนื่อยแสนเหนื่อย หอบจนใจจะขาด ก็ยังต้องผ่าฟืน หาบน้ำจากท่าน้ำหน้าบ้านมาใส่โอ่ง ใส่ตุ่ม แกว่งสารส้มให้เขา เสร็จแล้วก็ยังต้องมากวาดบ้านถูเรือน บ้านก็ 2 ชั้น ใหญ่โต คนใช้อื่นก็มี แต่เขาไม่ใช้ ไม่วานเพราะกลัวว่าพวกนั้นจะขโมยของบนบ้าน

หนักเข้าๆ ฉันก็ทนไม่ไหว ต้องนอนหอบอยู่ห้องใต้บันได ที่เขาให้หมาอยู่ แต่ก็มีพี่คนหนึ่งเมตตามาดูแล หาข้าวให้กินหาน้ำมาให้ แต่ก็โดนแม่บ้านใหญ่ดุด่าว่า “ไปทำอะไรให้คนมารยา” แล้วแกก็เดินมา เอาข้าวเอาน้ำที่พี่เขาเอามาให้ลาดทิ้งหมด แล้วว่า “ให้หมากันยังดึกว่า.....”

“กรรมอะไรล่ะ เราทำอะไรไว้ล่ะ จึงต้องมารับวิบากอย่างนั้น”

“ไม่รู้เหมือนกันแต่ว่าในชาติก่อนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนชาติสุดท้ายนี้ ฉันเองก็ทำชั่วไว้เยอะ มารู้ตัวเอาตอนใกล้ๆ จะตาย คือชาติก่อนโน้นฉันเป็นนายอากร มีหน้าที่เก็บเงินค่าส่วยต่างๆ ให้หลวง ฉันอยู่กับเงินเห็นเงินทุกวัน มันก็โลภ ก็ทำฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาของหลวงมาเป็นของตัวเองเสียแยะ ทำบุญก็ไม่เคยทำ เขาฝากเงินทองไปทำบุญ ฉันก็งุบงิบเอาเสีย ไม่รู้ล่ะ อะไรพอที่จะโกงได้ ฉันเอาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่ผ่านมา ฉันจึงถูกเขาโกงหมด ถูกเขาเม้มทรัพย์ที่ควรได้ก็ไม่ได้

นอกจากนี้ ฉันก็รังแกสัตว์ไว้แยะเหมือนกัน ตีไก่ กัดปลา เอาทั้งนั้น ฆ่าสัตว์มากินบ้างไม่กินบ้าง มากมาย

ที่เล่ามายังไม่หมดนะ ต่อมาฉันเกิดปวดขาปวดแขนขึ้นอีก หัวเข่าบวมปวด เหยียดไม่ได้ เดินไม่ได้ แขนก็ปวด ไหล่ก็ปวด นอนร้องอยู่คนเดียว ฉันว่ามันก็กรรมอีกน่ะแหละ เห็นจะเป็นเพราะเมื่อฉันจับปูนา จับกบได้มา ฉันก็จับมันหักแข้งหักขากันมันหนีแล้วก็ใส่ข้องไว้ เห็นจะเป็นกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานป่วยไข้ เป็นทั้งโรคหัวใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งหอบ เป็นทั้งโรคข้อ ปวดบวม แตะไม่ได้เลย พอถูกเข่าเท่านั้นปวดใจจะขาด ฉันก็ต้องเขยิบเอา ถัดเอา ไปหาข้าวกินเวลาหิวจัด ก็กินที่เหลือๆ เขานั่นแหละ

ตอนนี้แม่บ้านใหญ่เห็นแล้ว ไม่ใช้ฉันทำอะไรมากแล้ว ใช้แต่ให้ถูเรือนเท่านั้น เวลาทำงานมันก็ปวดสิ้นดี เขาไม่ใช้ฉันมาก มีแต่แช่งว่า “เมื่อไหร่ไอ้ง่อยนี่จะตายๆ เสียทีนะ”

นอกจากเขาจะไม่ให้อาหารกิน นอกจากจะหาที่เหลือๆ กินเอง ไม่เหลียวแล ไม่รักษาให้แล้ว ยังด่าว่ายังแช่งทุกวัน พี่น้องฉันก็ไม่มี เงินทองทรัพย์สมบัติของฉันก็มี แต่เขาโกงเอาไปหมด ไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องเอากับใคร

บางทีฉันก็นั่งร้องไห้ คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อฉัน ถ้าพ่อแม่ฉันอยู่ ฉันคงไม่เป็นอย่างนี้ นี่เป็นเพราะวิบากชัดๆ อกุศลวิบากนี่แหละ

จิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งว่า “เห็นจะเป็นวิบากกรรมแต่ชาติก่อนๆ ที่ยังรับวิบากไม่หมด กรรมนก็ข้ามชาติมาให้ชดใช้ นึกออกไหมล่ะว่าก่อนๆ นี่เราทำบาปทำกรรมอะไรไว้อีกล่ะ มันถึงได้เป็นอย่างนี้”

“ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคนพิการในชาติที่ผ่านมานี้ ฉันเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่เคยได้ทำบุญทำกุศลอะไรเลย วัดวา พระเจ้า ไม่รู้จัก รู้แต่อบายมุข ทั้งดื่ม ทั้งกิน ทั้งเล่น ทั้งเที่ยว ไม่เคยทำบุญทำกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ทำแต่บาปกรรม ซึ่งมันง่าย ทำเมื่อไหร่ก็ได้ หนักๆ เข้าก็ชิน ชินกับการทำอกุศลกรรม ศีลทั้ง 5 ข้อไม่รู้จัก เอาละฉันจะสารภาพให้ฟัง.....

ฉันหมดเวรหมดกรรมแล้วชดใช้วิบากไปแล้ว แต่กิเลสกรรมยังอยู่เพราะยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ฉันจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ในชาติก่อนนี้ฉันตั้งจิตอธิษฐานขอให้เกิดเป็นเจ้าคนนายคน มั่งมีศรีสุข เวลาทำบุญให้ทานทุกครั้ง ฉันจะอธิษฐานอย่างนี้ ตั้งจิตอย่างนี้เสมอไป

ในที่สุดฉันก็ได้เกิดมาเป็นลูกผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ในหมู่บ้านตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งสมัยนั้นการไปมาหาสู่กันลำบาก การที่จะไปหาญาติพี่น้องที่อำเภอตรอน หรืออำเภอลับแล ต้องเดินทางกันเป็นครึ่งวันค่อนวัน พ่อฉันเป็นคนอำเภอท่าปลา แต่แม่เป็นคนอำเภอลับแล ญาติพี่น้องจึงมีทั้ง 2 ทาง

ฉันมีพี่น้องอีก 3 คน รวมทั้งฉันด้วยก็เป็น 4 คน ชายสอง หญิงสอง ฉันเป็นคนกลาง มีพี่ชายคนหนึ่งแล้วก็มีน้องสาวอีก 2 คน ต่อมาพี่ชายแต่งงานไป มีไร่มีนาทำ พ่อแบ่งให้ น้องสาวอีก 2 คนก็มีครอบครัวไปทำมาหากินร่ำรวย ทั้งค้าขายของป่าและทำไร่นา มีฉันคนเดียวที่ยังไม่มีครอบครัว ก็อยู่กับพ่อแม่ไปเรื่อยๆ

ต่อมาพรรคพวกวนไปเข้าป่าหาของป่ามาขาย เมื่อไปแล้วก็เลยเข้าป่าล่าสัตว์ไปด้วยในตัว คือไปล่าหมี ล่ากระทิง ล่าเสือ ในดงดิบระหว่างอำเภอตรอนกับลับแลนั่นแหละ สัตว์ชุมมาก ซึ่งไปแรกๆ ก็ไม่ได้สัตว์เท่าไหร่ ได้แต่สัตว์เล็กๆ เช่น เก้ง อีเห็น เพื่อนๆ บอกว่า การล่าสัตว์นี้เท่ากับมาขอชีวิตข้ารับใช้ของท่านเจ้าป่า ต้องขออนุญาตบนบานศาลกล่าวเสียก่อน ฉันน่ะไม่เชื่อถืออะไรหรอกไม่ได้ก็ไม่ได้ สัตว์มันไม่ถึงฆาต มันไม่มาให้เราฆ่า ตัวไหนถึงฆาตมันก็มา แต่เพื่อนๆ เขาเชื่อ ก่อนจะออกล่าสัตว์เขาทำพิธีไหว้เจ้าป่ากันทุกที

เพราะการดื้อดึงแบบนี้กระมังฉันจึงเคราะห์ร้าย ไม่เคยได้สัตว์สักตัว ทั้งที่เพื่อนๆ เขาได้เก้ง ได้กระทิง เขาแล่ทำเนื้อเค็มกันเป็นหลัวๆ พวกลูกหาบยังงี้บ่นอุบ มันหนัก เพราะเนื้อเค็มที่ทำไว้มันมาก

ไปๆ ฉันก็ไปพบหมีเข้าจนได้ มันเป็นหมีควายตัวใหญ่มาก เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว หมีนี้ขึ้นต้นไม้เก่งเหมือนกัน ใครว่ามันไม่ขึ้นฉันนั่งหนีหมีอยู่บนต้นไม้อยู่นาน ปืนผาหน้าไม้ทิ้งไว้โคนต้นหมด

พอพลบค่ำ หมีมันออกเดินไปพอกะว่าห่างแล้ว ฉันจึงลงมาจากต้นไม้เก็บอาวุธต่างๆ แบบรีบจ้ำๆ จะกลับที่พักในป่า ซึ่งฉันเองก็ออกจะหลงๆ ทางอยู่เหมือนกัน

พอเดินไปสักพัก ฉันก็พบอีก ตัวสีดำๆ ใหญ่ๆ อยู่ข้างหน้าฉันนะ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหมีควายตัวนั้น ฉันยกปืนแก๊ปขึ้นเล็งไปที่เป้าหมายทันที โดยนั่งยิงเอาตัวบังต้นไม้ไว้หน่อย

พอฉันลั่นไกโป้งออกไป ก็พอดีได้ยินเสียง โป้ง ดังมาทางฉัน ฉันเสียวแปลบที่หัวไหล่ นึกได้ทันทีว่า ฉันถูกยิงเสียแล้ว อาจจะเป็นพรานอื่นแอบมาซุ่มยิงก็ได้

ทั้งๆ ที่เจ็บอย่างนั้นแหละ ฉันก็ออกวิ่งไปที่เป้าหมายแรก ที่ฉันนึกว่าเป็นหมีทันที ปรากฏว่าไม่ใช่ แต่เป็นคน ถูกลูกปืนฉันที่หน้าอก พอวิ่งไปใกล้ๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นพรรคพวกเดียวกันนั่นเอง เขาเห็นว่าฉันเป็นหมีเพราะมันพลบค่ำแล้ว แล้วฉันก็แต่งตัวมอๆ สีน้ำเงินคล้ำๆ เสียด้วย ทำยังไงได้ เขาไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็ไม่ได้เจตนาจะยิงเขา

พอฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ เสียงเจ้านั่นพูดว่า “ไอ้แช่ม มึงยิงข้าทำไม” “ฉันยังไม่ทันตอบ มันก็ขาดใจตายเพราะบาดแผล”

เจ้าอยู่กับ ฉันนี่เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกันเสียด้วยไปไหนไปด้วย ตายด้วยกัน ตายแทนกัน แต่แล้วฉันเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้ฆ่าเขา ยิงเขา คำสาบานยังแว่วๆ อยู่ตลอดเวลา “เราไม่ทิ้งกัน ตายด้วยกัน..... ตายแทนกัน”

ฉันเดินโซซัดโซเซ กุมหัวไหล่ที่ถูกยิง แบกปืนพะรุงพะรังกับมีดยาวอีกหนึ่งเล่ม เดินกลับที่พัก บังเอิญ..... บังเอิญจริงๆ เดินทางทิศที่พรรคพวกเขาขัดห้างอยู่ ตอนนี้ยุงชุมเพราะเป็นหัวค่ำ ไฟที่เหลือจากการทำอาหาร เขาก็สุมไว้ไล่ยุง ไล่สัตว์ร้ายไปพลางๆ ฉันเดินมา พอเห็นแสงไฟเท่านั้น กำลังใจมาสักกระบุง ทั้งๆ ที่เพลียจากเลือดไหลไม่หยุดเจ็บแผลด้วย หิวด้วย อยากน้ำด้วย ฉันก็รีบก้าวๆ ไปหาจุดหมายคือกองไฟนั้นจนได้....

“ไอ้แช่ม ไอ้แช่ม มาแล้ว นึกว่าเอ็งถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว เห็นไอ้อยู่ไหม..... มันไปกับเองหรือเปล่า.....”

คำถามต่างๆ พรูๆ ออกมาจากพรรคพวก แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พรรคพวกฟังจนหมดสิ้น ทุกคนฟังด้วยความสลดใจ สำนึกในบาปกรรมในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

สำหรับเจ้าอยู่นั้น เป็นพรานป่ามานาน ฆ่าสัตว์มากนักต่อนัก กรรมมันก็ตามทัน แถมกรรมมันยังเล่นงานฉันเข้าด้วยคือ ถูกยิงเจ็บ แล้วจะกลับบ้านไปแจ้ง ไปบอกกับลูกเมียมันยังไง บ้านเมืองเขาจะไม่เอาไปตัดหัวรึ ฉันกลุ้มเป็นกำลัง เพื่อนๆ ก็เลยพลอยกลัดกลุ้มไปด้วย

ฉันน่ะกลุ้มใจมาก เสียใจมากแทบจะเป็นบ้า หรือเหมาะๆ เป็นบ้าไปหน่อยๆ แล้วก็ได้ เพราะตาหูมันฝาดมองเห็นเป็นเจ้าอยู่เดินมาหาบ่อยๆ พอใกล้เข้าก็หายไป โดยเฉพาะตอนพลบๆ โพล้เพล้ๆ จะเห็นเจ้าอยู่เดินอมยิ้มมา หน้าตาทะเล้น อย่างเคยตามวิสัยของมัน ยิ่งกว่านั้น หูก็ยังฝาดได้ยินเสียงเจ้าอยู่มาเรียกบ่อยๆ

“แช่ม..... แช่มโว้ย” พอฉันหันหน้าไปมองตามเสียง ก็่ไม่เห็นมีอะไรแถมเวลานอน ยังฝันถึงมันเสียอีกด้วย ฝันว่ามันชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน ไปด้วยกันตามคำสาบาน

ฉันเล่าเรื่องต่างๆ ให้พรรคพวกฟัง พวกนั้นมันก็ว่า ฉันเพ้อไปเอง ทุกคนต่างก็ช่วยแก้ให้แล้วว่า เจ้าอยู่แยกเดินไปต่างหาก โดนเสือจับเอาไปกิน ส่วนเอ็งยังถูกเสือตะปบที่หัวไหล่ ลากไป เนื้อหายไปหน่อย ใครๆ เขาก็ไม่สงสัยแล้ว เอ็งวางใจได้

ข้อนั้นฉันวางใจแล้ว แต่อีกใจหนึ่งของฉันยังนึกอยู่เสมอว่า “เราฆ่าเจ้าอยู่ เพื่อนร่วมสาบานกับมือของเราเอง”

ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็กินเหล้าหนักขึ้นๆ ให้มันหายกลุ้ม วันหนึ่งๆ ได้แต่กินเหล้าเมาวันยังค่ำ พ่อแม่ฉันล่ะก็เอือมเต็มที แต่ท่านไม่รู้หรอกว่า ที่ฉันกินเหล้านี่เพราะอะไร

จนที่สุดวันหนึ่ง ขนาดกินเหล้าเมาๆ อย่างนี้แหละ หลับไปยังเห็นเจ้าอยู่มายืนกวักมือเรียก ส่งเสียงร้องโย้อยู่ข้างๆ ตัว “ไอ้แช่มไปด้วยกันสิ สบายออก ไปตามคำสาบานสิวะ ไม่ยากหรอก ปืนนั่นแหละ อมปลายมันเข้าไป เอาตีนเหนี่ยวไกเข้า โป้งเดียวก็ไปกับข้าได้ เอาสิวะๆๆ”

เสียงนี้ก้องหูอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด ฉันก็ทำตามอย่างทีมันบอก เอาปืนแก๊ปกระบอกนั้นแหละ ใส่ลูกเข้า ใส่ดินปืนเข้า แล้วก็อมปากกระบอกปืนไว้ เอามือยึดให้มั่น เอานิ้วหัวแม่เท้าใส่เข้าไปในโกร่งไกปืน พอเหมาะ ก็กระดิกนิ้วเท้า เขี่ยไก ปั๊บเดียว ได้ผลปืนลั่นดังโป้งทะลุปากเข้าหัวขมอง ขมองกระจุย ได้ไปพบกับเจ้าอยู่เดี๋ยวนั้นเอง.....

ฉันฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายเพราะขาดสติ ขาดความเหนี่ยวรั้ง ฆ่าเพราะขาดศีล ถ้าไม่กินเหล้า ไม่เมาจนประสาทเสีย ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ ฉันตายไม่ใช่เพราะความสมใจ แต่ตายเพราะวิบากกรรมที่ทำเอาไว้แยะ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แถมยังฆ่าเพื่อน จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่ก็ฆ่าเพื่อนร่วมสาบานไปแล้ว มันคงเป็นการบีบคั้นทางใจ ทางออกของฉันจึงเป็นอย่างนี้

เมื่อฉันตายแล้ว จิตวิญญาณฉันก็ได้พบกับเจ้าอยู่ดังหวัง เพราะเจ้าอยู่กำลังรับวิบากกรรมข้อที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อประมาทมัวเมาจากการดื่มน้ำเมา ฉันกับเขาอยู่พบกันนิดเดียว ก็ต้องจากกัน เพราะกรรมฉันที่ทำไว้มันน้อยกว่าเจ้าอยู่ ที่เป็นพรานมานับสิบปี พวกเสือ พวกหมี กระทิง แรด กำลังทึ้งมันอยู่ ส่วนฉันนั้นไม่เท่าไหร่ เพิ่งจะเริ่มเป็นพราน และที่หนักหน่อยก็ดื่มของมึนเมา ตีไก่ กัดปลา ไม่ได้ทำบุญทำกุศลใดๆ เลย แต่การฆ่าตัวตายนั้นน่ะ มันก็เป็นกรรมหนักมากเหมือนกัน

ฉันรับกรรมอยู่ในแดนวิบากนั้นจนเบาแล้ว จึงได้มาเกิดใหม่ ก็มาเกิดเป็นลูกเมียน้อยคุณหลวง ที่เป็นพ่อฉันนี่แหละ แต่กรรมยังไม่หมด วิบากยังข้ามชาติข้ามภพมา ให้เกิดเป็นลูกเมียน้อย เป็นคนพิการ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ถึงจะมีก็ถูกเขาปล้น เขาโกงไป

ก็ผลที่ตอนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ดิบได้ดี เป็นถึงนายอากรเก็บส่วย เก็บอากรส่งเข้าหลวง ฉันก็ฉ้อฉล เอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัวเสีย เอาตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์รีดนา ทาเร้น เรียกร้องทรัพย์สินเงินทองของคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แม้คนเขาฝากมาทำบุญ ก็ยังเอา ทำทุกอย่างที่จะได้เงินได้ทอง ผลคือเกิดมาในชาตินี้ มีแต่ตัว ตัวที่พิกลพิการ ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีที่อยู่ เจ็บป่วยไม่มีกำลังรักษา วิบากเข้ามาใกล้ตัวทีละน้อยๆ จนในที่สุด ก็ถึงจุดของมัน คือตาย ตายไปเสียจากโลกนี้ เพื่อหนีความทุกข์ทรมาน หนีความคับในใจ เชื่อว่าถ้าตายเสียแล้วความทุกข์ต่างๆ มันก็หมด หมดไปกับชีวิตอันคับแค้น หมดไปกับความตาย

ที่จริงฉันคิดผิดมาก มารู้เอาทีหลังว่า การฆ่าตัวตายนั้นบาปหนักเหมือนกัน ใช่ว่าจะหนีวิบากพ้นเมื่อไหร่ มันกลับเพิ่มเป็นอีกเท่าทวีคูณ อย่างน้อยก็บาป 2 อย่าง คือ จิตซึมเซาเศร้าหมอง นั้นก็เป็นบาปแล้ว ทีนี้มา ทำปาณาติบาต ตัวเอง ก็ยิ่งบาปอีก มันไม่หมดความทุกข์เพราะความตาย แต่มันกลับเพิ่มวิบาก ให้เป็นทุกข์หนักขึ้น หนักกว่าเดิม

ฉันไม่รู้ ไม่มีใครมาชี้แนะ ฉันก็นึกของฉันว่า ฉันไม่ได้ฆ่าใคร ฉันทำตัวฉันเอง มันจะได้หมดทุกข์หมดทรมานเสียที หารู้ไม่ว่า เรายังชดใช้วิบากไม่หมด จะหนียังไงๆ มันไม่พ้น เมื่อทำอกุศลกรรมลงไปอีกวิบากก็เพิ่มขึ้น เมื่อชดใช้ไม่หมด มันก็ติดตามข้ามชาติข้ามภพ มาใช้หนี้ต่อ มันก็ต้องฆ่าตัวตายต่อไปอีกทุกชาติๆ จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมหมดวิบาก หรือมีกุศลกรรมมาขัดเกลาจิตใจให้กรรมมันเบาบาง เมื่อไรหยุดฆ่าตัวตายกรรมนั้นยุติ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ทีนี้ฉันจะสารภาพต่อ ฉันทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจไม่ไหว สุดที่จะทนทานแล้ว ฉันไปหาท่านพระครู ไปหาท่านเป็นครั้งสุดท้ายไปกราบท่าน แต่ไม่ได้บอกหรอกว่าฉันจะทำอะไร พอกลับมา ค่ำวันนั้นฉันนั่งสวดมนต์ นึกถึงพ่อ ถึงแม่ ภาวนาอธิษฐาน ขอให้เกิดใหม่เป็นลูกของพ่อของแม่ต่อไปอีก ฉันนอนดึก เพราะจิตมันฟุ้งซ่าน กว่าจะตื่นก็สาย พอสายหน่อยเท่านั้น เสียงแม่บ้านใหญ่ตะโกนแหว๋ๆ ออกมาว่า

“นี่ไอ้ เจ้าพระเดชนายพระคุณยังไม่ตื่นออกมาทำงานอีกหรือ มันจะนอนเอาบ้านเอาเมืองไปถึงไหนกัน ?”

ฉันรีบลุกออกมา ขาแข้งมันปวดไปหมด ยืดไม่ออกได้แต่ถัดออกมาจะมาล้างหน้าล้างตา ก็พอดีพบแม่บ้านใหญ่ยืนท้าวสะเอวด่าโครมๆ อยู่ที่บันไดบ้าน ฉันก็ยกมือไหว้ แล้วบอกว่า “ผมไม่สบายขอรับกระผม”

“ไหว้หมาเถอะ ไม่ต้องมาไหว้ฉันหรอก เอ็งน่ะ มีวันไหนมั่งวะที่จะสบาย มันก็ขี้เกียจสันหลังยาว อ้างว่าไม่สบายตลอดปีล่ะวะ” แล้วแกก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ฉันตะเกียกตะกายไปหิ้วน้ำมา 1 กระป๋อง ผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง จะมาถูเรือน ความที่มันปวดหัวเข่า เดินๆ ไปน้ำตาเล็ดไป ร้องไห้ไป ร้องไห้ไปกับความทุกข์ของตัว ทันทีนั้นในใจก็นึกว่า “อย่าอยู่เลยวะเรา จะอยู่ไปทำไม อยู่ไปหาอะไร ความสุขสักชั่วหายใจไม่มี มีแต่ความทุกข์ทรมาน ตายเสียดีกว่า จะได้พ้นๆ ทุกข์เสียที”

ขณะที่ดิฉันเดินไปตักน้ำ ที่แม่น้ำหน้าท่านั้น น้ำกำลังขึ้นไหลเชี่ยวเพราะเป็นเดือน 11 กรรมอะไรก็ไม่รู้ บันดาลใจให้ฉันโดดลงไปในน้ำ โดดลงไปอย่างไม่ยั้งคิด แล้วก็ว่ายทวนน้ำขึ้นไปๆ ทวนน้ำไป เท่าที่แรงจะทำได้ ก็ฉันเหนื่อยมากอยู่แล้ว เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว พอว่ายน้ำไปหน่อย ก็เหนื่อยสุดขีด ขาดใจตายในน้ำนั้นเอง ตัวฉันค่อยๆ จมลงๆ คงจะมีผู้คนเห็นเหมือนกัน เพราะมันสายมากแล้ว ในที่สุดร่างฉันก็จมหายไปในน้ำที่เชี่ยวนั้น

วิญญาณฉันล่องลอยออกจากร่าง แล้วก็มาอยู่ที่นี่แหละ มารับกรรมต่อไปอีก ทีนี้ร่างกายที่พิกลพิการของฉัน มันก็ลอยขึ้นมาๆ แล้วก็มาลอยวนเวียนอยู่ที่ท้องคุ้งหน้าบ้านพ่อที่ฉันเคยอยู่ ลอยวนเวียนอยู่อย่างนั้น ผู้คนก็มามุงดูกันแน่น เรื่องก็รู้ไปถึงแม่บ้านใหญ่ แกก็รีบมาที่ศพคนตายที่ลอยน้ำมา พอรู้ว่าเป็นศพฉันเท่านั้น แกก็ร้องออกมาว่า “ตายเสียได้ก็ดี ไอ้ลูกขี้ครอก กูจะกรวดน้ำ สาปแช่งมึง ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดอีกต่อไป”

ดูซิ น้ำใจแม่บ้านใหญ่ ไม่รู้ว่าจะโหดร้ายทารุณไปถึงไหน ฉันเองตั้งแต่เกิดมาไม่ได้ทำความเดือดร้อนใจให้แกสักหน่อย แกผูกพยาบาทอาฆาตฉันมาตั้งแต่เกิดจนตาย

จะด้วยจิตที่ยังพะวงถึงพ่อแม่หรือบ้านที่อยู่ก็ไม่ทราบได้ ร่างอันไร้วิญญาณของฉันมันไม่ไปไหน มันลอยวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าบ้านนั่นแหละ คนก็โจษจันกันไปต่างๆ ทีนี้ แม่บ้านใหญ่คงจะเกิดความกลัว ความสำนึกในกรรมที่ก่อเวรไว้กับฉัน กลัวฉันจะพยาบาทอาฆาต แกก็นิมนต์พระมาที่บ้าน ทำบุญสวดมนต์ปัดรังควานถึง 3 วัน

“แล้วหลวงพ่อได้รับนิมนต์ด้วยหรือเปล่าขอรับกระผม”

“ได้รับนิมนต์ เพราะในอยุธยานี่ ใครทุกข์ยากลำบากอะไรก็มาหาทั้งนั้น แต่ฉันไปนั่งแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณเขาน่ะ ท่านพระครูข้างบ้านเขา เขาก็นิมนต์ไป ท่านเมตตาสงสาร นายพร้อม ผู้ตายนี้มาก เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่พ่อเขายังไม่ได้เป็นคุณหลวง”

“หลวงพ่อกรุณาแผ่เมตตาให้เขา นี่เขาจะได้รับกุศลหรือไม่ขอรับกระผม”

“ได้ทั้งผู้ให้และรับ นี่เป็นความจริง ก็เหมือนคนกระหายน้ำคอแห้งผาก เราก็กระหายน้ำเหมือนกัน เรามีดื่ม ก็ดื่มจนหายอยาก ทีนี่น้ำเหลือดื่มนี่แหละ เราจะเททิ้งเสีย หรือว่าจะให้คนหรือสัตว์ที่กำลังกระหายน้ำคอยอยู่ โดยทั่วไป เราก็ไม่เททิ้งให้เปล่าประโยชน์ เขาก็ได้ดื่มชุ่มชื่นฉันใด การแผ่เมตตาก็ฉันนั้น เรามีเมตตา ซึ่งเป็นพระคุณชั้นสูงอยู่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด เมตตานี้เป็นกุศลอย่างยิ่ง ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งกุศลมาก ยิ่งล้นท้นตัวมากเราจะเทเมตตาทิ้งเสียหรือ ก็ไม่ได้ประโยชน์ อันใด

ฉะนั้น แทนที่เราจะเก็บไว้กับตัวเฉยๆ หรือทิ้งเหมือนเทน้ำ ก็ไม่ได้ดอก ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเราแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั่วไปแล้ว ถ้าเปรียบเมตตาเหมือนกับเงินทอง มันก็เท่ากับเงินทองนั้นออกดอกออกผลมากขึ้นอีก ก็เพราะการแผ่เมตตานั้น เป็นการทำบุญทำกุศลอย่างสูงชนิดหนึ่ง คนที่แผ่ก็ได้กุศล คนที่รับสัตว์ที่รับก็ได้กุศล ก็เท่ากับเป็นกุศลสองต่อ อย่างไรก็อย่างนั้น”

ผมกราบเรียนถามท่านอีกว่า “การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปอย่างนี้แล้ว พวกเพชฌฆาต พวกราชมัล ที่ทำหน้าที่ประหารชีวิต ทำหน้าที่ทรมานนักโทษที่ต้องคำพิพากษา จะมีบาปหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน”

ท่านกรุณาให้อรรถาธิบายว่า...........

“ให้คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาปทั้งสิ้น ไม่มีการยกเว้นเพชฌฆาต ราชมัล ที่ประหารชีวิตมนุษย์ที่ทำการทารุณกรรมต่างๆ แก่ผู้ต้องโทษนั้น ก็อยู่ในกรณีนี้ และจะยิ่งบาปมากขึ้นอีก ถ้าเพชฌฆาต ราชมัล นั้นมีจีตอกุศลอยู่ด้วย เช่น อยากประหาร แสดงความสมใจ กระทำด้วยความยินดี และมีความยินดีหรือความพอใจในการลงโทษ หรือทรมานผู้ต้องหา หน้าที่ก็หน้าที่ หน้าที่ที่ทำให้เกิดกุศลเกิดบุญก็มี หน้าที่ที่ทำให้เกิดบาปเกิดโทษแก่ตน แก่จิตใจตนก็มี

ไม่ต้องอะไร ถ้าพบคนคนหนึ่ง เราถามว่า ทำงานอะไร ประกอบอาชีพอะไร ถ้าคนนั้นตอบว่า“ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ฆ่าคนตามคำพิพากษาเท่านั้น ผู้คนจะเดินหนีออกห่างทันที นี่ก็แลเห็นอยู่แล้ว

การบุญการกุศล หรือการบาปการอกุศล อยู่ที่จิตก่อน จิตอย่างเดียวยังไม่เป็นบาปมาก แต่มันก็ทำให้จิตไม่แจ่มใส คิดอกุศล มันก็ไม่ใช่บุญแล้ว ทีนี้ถ้าจิตคิดแล้ว กายก็กระทำด้วย บาปก็เริ่มขึ้น ถ้าการกระทำนั้น บรรลุจุดประสงค์ เช่น บั่นทอนชีวิตเขาสำเร็จ เบียดเบียนเขาสำเร็จ บาปนั้นก็สมบูรณ์ อันนี้จึงเกิดเป็นอกุศลกรรมซึ่งก็จะให้ผลแก่ผู้กระทำต่อไป ไม่มีเว้น ไม่มีการขอร้อง อ้อนวอน ผ่อนปรน ชั่วแต่ว่า ผลมันจะช้าหรือเร็วเพียงไรเท่านั้นเอง

ผมก็ยกมือขึ้นสาธุ แล้วกราบนมัสการด้วยเคารพ

ก็เป็นอันว่า คำสารภาพของวิญญาณ ที่ประกอบอัตวินิบาตกรรมก็จบลงเพียงนี้ และพอจะสรุปได้ว่า..... การฆ่าตัวตายนั้น ไม่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่ทำให้พ้นวิบากไปได้ กรรมนี้มันจะต้องเกิดต่อๆ ไปอีก ทุกชาติทุกภพ

ฉะนั้น ทุกวันนี้ตามที่เราได้ยินการฆ่าตัวตายว่ายังมีเสมอ โดยเฉพาะในรายที่ไม่ได้ดังใจหวัง ในการพลัดพรากจากของรักของหวง ในรายที่เสียใจกลัดกลุ้มด้วยเหตุต่างๆ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นเหตุอันที่จะพาไปสู่ที่พ้นทุกข์ได้ เพราะเมื่อมีการฆ่าตัวตายแล้วในชาตินี้ ชาติหน้าเกิดมา ไม่ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ มันก็หนีการฆ่าตัวตายไม่พ้นอีก มันก็จะต้องพบกับภาวะเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะหมดวิบาก



พระพุทธ4พระธรรม4พระสงฆ์4อุบาสก4อุบาสิกา4ปกิณกะ4• พุทธประวัติ• พุทธประวัติทัศนศึกษา• ทศชาติชาดก4• ชาดก ๕๔๗ เรื่อง4• ประทีปแห่งเอเซีย• ๓ เดือนก่อนปรินิพพาน• บุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก• พระสัมมาสัมพุทธเจ้า• พระปัจเจกพุทธเจ้า• พระพุทธเจ้าในนิกายเถรวาทและมหายาน• พุทธกิจ ๔๕ พรรษา• พุทธการกธรรม• พุทธธรรมดา ๓๐ ทัศ• พุทธศาสนายุคหลังพุทธปรินิพพาน• พระไตรปิฎก4• พระอภิธรรม4• ศีล4• บทสวดมนต์4• พระคาถาชินบัญชร4• มิลินทปัญหา• พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์• นวโกวาท• ปกิณกธรรม4• พระอสีติมหาสาวก• เอตทัคคะ ภิกษุ4• เอตทัคคะ ภิกษุณี4• ประวัติอาจารย์ สายพระป่า• ประวัติอาจารย์ สายพระบ้าน• คำสอนอาจารย์• ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช• พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช4• สมณศักดิ์• พระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน• บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม• ภาพในหลวงกับพระสุปฏิปันโน• เอตทัคคะ(อุบาสก)4• ประวัติอุบาสกคนสำคัญ4• ธรรมะโดยอุบาสก4• พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว• พระราชกฤษฎาภินิหาร• พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระปรีชา• ทิพยอำนาจในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว• เมื่อกษัตริย์โบดวง ทรงชักนำในหลวงเปลี่ยนศาสนา• เอตทัคคะ (อุบาสิกา)4• ประวัติอุบาสิกาคนสำคัญ4• คำสอนโดยอุบาสิกา4• นิทานเซน• โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน• โอวาทท่านจี้กง• ระเบียบปฏิบัติของชาวพุทธ• ศาสนพิธี• สารบัญปัญหาจากการปฏิบัติ• สารบัญปัญหาจากการดูจิต• พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์4• เรื่องที่น่าสนใจ• เตมีย์ชาดก• ชนกชาดก• สุวรรณสามชาดก• เนมิราชชาดก• มโหสถชาดก• ภูริทัตชาดก• จันทกุมารชาดก• นารทชาดก• วิทูรชาดก• เวสสันดรชาดกเรียงตามนิบาตเรียงตามชื่อความรู้เรื่องพระไตรปิฎกความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทประวัติพระไตรปิฎกฉบับจีนพากย์ความหมายของพระไตรปิฎกความเป็นมาของพระไตรปิฎกคำอธิบายพระไตรปิฎกอย่างย่อลำดับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเนื้อหาโดยสังเขปของพระไตรปิฎกแก่นธรรมจากทีฆนิกายความคิดของคนที่ไม่เข้าถึงสภาวะธรรมความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎกสาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม4พระอภิธรรมในชีวิตประจำวันปรมัตถธรรมสังเขปจิตตสังเขปนวโกวาท วินัยบัญญัติ เบญจศีล อานิสงส์ของศีล ๕ข้อห้ามและศีลของสมณเพศ 4อย่างไรจึงผิดศีลผิดศีล..ตัดสินอย่างไรถือศีลอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นสังโยชน์วินัยของพระภิกษุสงฆ์ ที่ประชาชนควรทราบบทสวดทำวัตรเช้าบทสวดทำวัตรเย็นบทสวดมนต์เจ็ดตำนานบทสวดมนต์สิบสองตำนานบทสวดถวายพรพระอานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณบทสวดมนต์ต่าง ๆบทสวดพระอภิธรรมในงานศพฉบับสมเด็จพระญาณสังวรฉบับอ.พร รัตนสุวรรณฉบับพระพิมลธรรม (อาสภเถระ)ฉบับ 'ฉันทิชัย'ฉบับสิงหฬฉบับ สงฺขฺยาปกาสกฎีกาความหมายของธรรมปฏิจจสมุปบาทตำนานพระปริตรการอ่านภาษาบาลีคำถามเกี่ยวกับบทสวดมนต์อกุศลกรรมบท ๑๐4สมถะกรรมฐาน-อัปปนาสมาธิภพภูมิ 31 ภูมิกิเลส ๑๐อนุสสติ ๑๐กังขาเรวตะกาฬุทายีกุมารกัสสปะกุณฑธานะจุลปันถกะทัพพมัลลบุตรนันทะ (พุทธอนุชา)นันทกเถระปิณโฑลภารทวาชะปิลินทวัจฉะปุณณมันตานีบุตรพากุละพาหิยทารุจีริยะภัททิยกาฬิโคธาบุตรมหากัจจายนะมหากัปปินะมหากัสสปะมหาโกฐิตะมหาปันถกะโมคคัลลานะโมฆราชะรัฐปาละราธะราหุลเรวตขทิรวนิยะลกุณฎกภัททิยะวักกลิวังคีสะสาคตะสารีบุตรสีวลีสุภูติโสณกุฏิกัณณะโสณโกฬิวิสะโสภิตะอนุรุทธอัญญาโกณทัญญะอานนท์อุบาลีอุปเสนวังคันตบุตรอุรุเวลกัสสปะนางสุชาดานางวิสาขามิคารมาตานางขุชชุตตรานางสามาวดีนางอุตตรานันทมาตานางสุปปวาสาโกลิยธีตานางสุปปิยาอุบาสิกานางกาติยานีนางนกุลมาตาคหปตานีนางกาฬีอุบาสิกาสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)สมเด็จพระสังฆราช (มี)สมเด็จพระสังฆราช (สุก)สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)สมเด็จพระสังฆราช (นาค)กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สมเด็จพระสังฆราช (สา)กรมพระยาวชิรญาณวโรรสกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราช (แพ)กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด)สมเด็จพระสังฆราช (อยู่)สมเด็จพระสังฆราช (จวน)สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น)สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์)สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ)พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะอนาถปิณฑิกคฤหบดีจิตตคฤหบดีหัตถกอุบาสกเจ้ามหานามศากยะอุคตคฤหบดีอุคคฤหบดีสูรัมพัฏฐเศรษฐีบุตรหมอชีวกโกมารภัจจ์นกุลปิตาคฤหบดีอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่อ.เสถียร โพธินันทะอ.พร รัตนสุวรรณอ.สุชีพ ปุญญานุภาพศ.นพ.อวย เกตุสิงห์เซียนสู พรหมเชยธีระอ.สัญญา ธรรมศักดิ์อ.บุญมี เมธางกูรม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอ.วศิน อินทสระดร.ระวี ภาวิไลสุลักษณ์ ศิวรักษ์สมพร เทพสิทธาสัตยา นารายัน โกเอ็นก้า• สันตินันท์• สู พรหมเชยธีระ• ดังตฤณ• เสถียร โพธินันทะ• สุชีพ ปุญญานุภาพ• วศิน อินทสระ• น.พ.กำพล พันธ์ชนะ• เขมานันทะ• ไชย ณ พล• กำพล ทองบุญนุ่ม• บุญมี เมธางกูร• มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช• ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์• สุลักษณ์ ศิวรักษ์• ท่านอื่น ๆพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพระเขมาเถรีพระอุบลวัณณาเถรีพระปฏาจาราเถรีพระธัมมทินนาเถรีพระนันทาเถรีพระโสณาเถรีพระสกุลาเถรีพระภัททากุณฑลเกสาเถรีพระภัททากปิลานีเถรีพระภัททากัจจานาเถรีพระกีสาโคตมีเถรีพระสิงคาลมาตาเถรีกี นานายนกนิษฐา วิเชียรเจริญแนบ มหานีรานนท์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุลสิริ กรินชัยพิมพา วงศาอุดมศันสนีย์ เสถียรสุตสุจิตรา อ่อนค้อมรัญจวน อินทรกำแหงบุญเรือน โตงบุญเติมสุรีพันธ์ มณีวัตแก้ว เสียงล้ำ• กี นานายน• สุจินต์ บริหารวนเขตต์• แนบ มหานีรานนท์• Nina Van Gorkom• อัญญมณี มัลลิกะมาส• ละมัย เขาสวนหลวง• พิกุล มโนเจริญ• อมรา มลิลา• พิมพา วงศาอุดม• รัญจวน อินทรกำแหง• สุรีพันธ์ มณีวัตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติการกำเนิดชีวิตและจักรวาลชีวิตกับจักรวาลความรู้กับสภาวะแห่งการรู้ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไรเต๋าแห่งฟิสิกส์พุทธศาสนาในฐานะรากฐานของวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์สมาธิคำนำห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่างศีล ๑๐ ข้อของสามเณรศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ4ครุธรรม ๘ ของภิกษุณีคำนำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุ มิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ สรุปอกุศลกรรมบท ๑๐ปาราชิกสังฆาทิเสสอนิยตกัณฑ์นิสสัคคิยปาจิตตีย์ปาจิตตีย์ปาฏิเทสนียะเสขิยะสารูปโภชนปฏิสังยุตตธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ปกิณสถะธิกรณสมถะคำนำพระอภิธรรม คืออะไรปรมัตถธรรมบัญญัติธรรมปรมัตถธรรม อยู่เหนือการสมมุติประวัติพระอภิธรรมพระอภิธัมมัตถสังคหะการสวดพระอภิธรรมในงานศพประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรมสำนักศึกษาพระอภิธรรมผู้เรียบเรียงบรรณานุกรม

ประกาศห้ามฆ่า

ประกาศห้ามฆ่า



มนุษย์คือสัตว์ประเสริฐ ความประเสริฐสูงส่งของมนุษย์นั้น คือจิตคุณธรรม
ความเมตตาที่มีอยู่ในจิตของมนุษย์นี้เอง ทำให้มนุษย์ได้ชื่อว่า สัตว์ประเสริฐ
ความเมตตาเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ให้แตกต่างจากเดรัจฉาน ด้วยจิตสำนึก ..
แต่มาบัดนี้ จิตที่เคยสูงส่งเปี่ยมด้วยความดีแห่งเมตตา ได้มีกำแพงเหล็ก
อันแน่นหนามาปิดกั้นไว้จนมืดบอด เมื่อมนุษย์ขาดจิตสำนึก จึงมองไม่เห็น
ผิดบาปที่ตนกำลังก่อขึ้นอย่งมหันต์ ..
ลองคิดกันดู ...


1. บ้านเมืองกำลังเกิดสงคราม พวกเรากำลังถูกตามล่า ต่างพากันหนีตายอย่างลนลาน


ในขณะที่โจรไล่ต้อนจนมุม ความตายมาถึงเบื้องหน้า รู้ว่าไม่มีทางรอดแน่ จิตใจเราขณะนั้น ไม่สั่นสะท้านเพราะความกลัวจนขีดสุดหรอกหรือ !






2. ในขณะที่พวกโจรจับตัวได้ เราถูกฉุดกระชากลากไถไปอย่างหยาบช้า


ทำกับเราเยี่ยงหมูหมา ความรู้สึกของเราตอนนั้น จิตใจไม่แตกกระเจิงขวัญหนีดีฝ่อหรอกหรือ !




3. เมื่อเห็นคนรักของเรา ถูกทุบตีอย่างทารุณต่อหน้าต่อตา


เราทั้งโกรธทั้งแค้น ตะโกนร้องจนสุดเสียง วิงวอนขอชีวิตแทบขาดใจ ขณะนั้นใจเราไม่เจ็บปวดรวดร้าวหรอกหรือ !





4. ญาติมิตรของเราถูกพวกโจรจับได้ เอามาขึ้นตะแลงแกง


พวกโจรฆ่าฟันหั้นหั่นอย่างเลือดเย็น เสียงหวีดร้องร่ำไห้อย่างโอดโอยของพวกเขา ใจเราขณะนั้นไม่คิดจองล้างจองผลาญหรอกหรือ !






5. การฆ่ามาถึงตัวเรา พวกโจรเข้ารุมทำร้ายทุบถองตบตีจนกระอักเลือด


ความทรมานเจ็บปวด ยังไม่เท่ากับถูกกรีดเนื้อเถือหนังจนปวดแสบไปทั้งร่าง ใจเราขณะนั้นไม่อาฆาตเคียดแค้นหรอกหรือ !





6. นาทีแห่งความตายใกล้เข้ามา จิตใจเราห่อเหี่ยว ความหวังริบหรี่ลงทุกที


แต่เผอิญขณะนั้นมีโจรคนหนึ่งมาช่วยปล่อยตัว เรามีหวังขึ้นมาอีกครั้ง ใจเราขณะนั้นไม่ดีใจสำนึกขอบคุณหรอกหรือ !





7. ทันใดนั้น มีโจรอีกคนหนึ่ง ไม่เคยโกรธแค้นกันมาก่อน ตรงเข้ามาขัดขวางไม่ให้ปล่อยไปง่ายๆ


อ้อนวอนยังไงพวกโจรก็จะฆ่าเราให้ได้ ใจเราขณะนั้นไม่รู้สึกรันทดหดหู่หรอกหรือ !




8. ในขณะที่พวกโจรคิดจะปล่อยตัวพวกเรา แต่มีโจรคนหนึ่งคัดค้านขึ้นมาว่า ฆ่าเสียเลยจะดีกว่า


คนเหล่านี้เกิดมามีเคราะห์ ตายไปก็คงจะหมดเคราะห์หมดกรรม ใจเราขณะนั้นไม่เจ็บช้ำหรอกหรือ !





9. ในขณะคนรักของเราป่วยหนัก อาการแสนสาหัส จริงๆ แล้วถูกสั่งให้ปล่อย


แต่มีโจรใจดำคนหนึ่งไม่เห็นด้วย ป่วยหนักเช่นนี้ รอดตายยาก ฆ่าเสียสิ้นเรื่อง ใจเราขณะนั้นไม่เป็นเดือดเป็นแค้นหรอกหรือ !




10. ญาติมิตรของเราส่วนใหญ่มีลูกเล็กเด็กแดง พวกโจรคิดจะปล่อยไป





แต่มีโจรใจชั่วคนหนึ่งเสนอว่า เด็กพวกนี้ปล่อยไปก็ตาย ฆ่ากินดีกว่า เนื้ออ่อนอร่อย ใจเราขณะนั้นจะอโหสิให้ได้อีกหรือ !




ไม่ว่าสัตว์น้อยใหญ่ หรือแม้กระทั่ง กุ้ง หอย ปู ปลา เมื่อถูกจับมานอนอยู่ข้างเขียง ต่อหน้ามีมีด ต่อหน้าน้ำมันร้อน มันก็ย่อมคิดว่า ตัวมันกับญาติมิตรที่ถูกจับมาด้วยกันนี้ อีกชั่วครู่ก็ต้องจบชีวิตอย่างเจ็บปวดสาหัส แต่ปากพูดไม่ได้ นอกจากชักดิ้นรับความทรมาน




http://dhammaworld.exteen.com/20080506/entry

ถั่วเหลืองรักษาอัมพาต อุดมด้วยสารช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกดี

ถั่วเหลืองรักษาอัมพาต อุดมด้วยสารช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกดี

นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮ่องกงพบว่าถั่วเหลืองและถั่วมะฮะ ช่วยบำบัดรักษา
ผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต  ให้ดีขึ้นได้ และบำบัดป้องกันโรคหัวใจ หรือ เส้นเลือดตีบตัน
โรคอ้วน ลงพุง ควรหมั่นบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง วันละไม่น้อย 100-150 กรัม เต้าหู้ หรือ 50 กรัม 
ผลิตภัณฑ์โปรตีนเกษตรที่ทำจากถั่วเหลืองสกัด
ซี่งมีวิตามิน แร่ธาตุ ที่จำเป็น นอกจากช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม และ โรคมะเร็งลำไส้  โรคหัวใจ
เนื่องจากถั่วทั้งคู่อุดมด้วยสารเคมีไอโซฟลาโวเน ซึ่งช่วยให้เลือดลมเดินสดวกไม่แข็งตัว
ลดไขมันเลวในกระแสเลือด

ข้อมูลอ้างอิง

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 เหตุผล ดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์
10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์



1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่มอร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ

2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลง และยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

9. สมองไบท์ เมื่อร่างกายสดใส ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น สมองไบท์ขึ้น

10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผัก ผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

เป็น 10 เหตุผลดีๆ ที่น่าจะทำให้คุณลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน








รูปภาพ: ve.jpg


โรงพยาบาลธรรมชาติ

โรงพยาบาลธรรมชาติ


          ๑. ไขมันในเลือดสูง  แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ  ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

๒. ปวดหัว  ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้

๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย  ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม  หอม พริกให้มากเข้าไว้

๔. ภูมิแพ้  แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)


๕. แพ้ฝุ่นละออง  ไรฝุ่น   หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

๖.โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง  กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน

๘.ไขข้ออักเสบ   หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

๙. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย  ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

๑๑.ท้องผูก  ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น

๑๒.โรคกระเพาะอาหาร  หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก

๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย  ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน  ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้

๑๕.หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

๑๖.กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูกอยู่มาก( แมงกานีส)

๑๗.ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

๑๘.มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด งด การบริโภคเนื้อสัตว์โปรตีนจะทำให้มะเร็งขยายตัวได้เร็วขึ้น


๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส  ฝรั่ง  ส้ม  มะนาว  มะขามป้อม  มะละกอ  มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ  กินปลาทะเล  น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน  ผล อโวคาโด เพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

๒๒.ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น


๒๓.เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัดอย่างคะน้า  บร็อคโคลี  ผักโขมให้มาก  ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

ตะปูใจ - สาระดี ๆ ที่น่าสนใจ

ตะปูใจ

         เด็กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก  

พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้เขา 1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า

"ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ
โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู  1 ตัวเข้าไปกับ รั้วหลังบ้าน"
วันแรกผ่านไป   เด็กน้อยคนนั้น ตอกตะปูเข้าไปที่ รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลด

จำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า การควบคุมอารมณ์ตนเองเริ่มสงบลง  

และแล้ว   หลังจากที่เขา สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ

และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว....

พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า...
"ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อรู้
 โดยทุกๆครั้งที่สามารถควบคุมตนเองได้  ให้ถอนตะปู ออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง"

วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว จาก 1 เป็น  2, จาก 2 เป็น 3 
จนในที่สุด ตะปูถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ 

"ฉันทำได้ ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ..!!"   พ่อไม่ได้พูดอะไร  แต่ได้จูงมือลูกชายไปที่รั้วหลังบ้าน

"เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ  มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมีรอยตะปูเต็มไปหมด จำไว้นะลูก
เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูดว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบ ความเจ็บปวด  ไม่อาจรบรอยแผล ที่เกิดขึ้นกับคนนั้นได้"

กับเพื่อน  เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณี ที่หายาก เป็นคนทำให้เรายิ้ม ให้กำลังใจ  
ยินดีเมื่อเราประสบความสำเร็จ ปลอบใจเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ
..... จงระวัง ในสิ่งที่เราทำลงไป  ไม่ว่าจะป็น
 คำพูด หรือ การกระทำ และจดจำไว้เสมอว่า   คำขอโทษ   ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่

แต่สิ่งที่มันได้เกิดขึ้น คือ รอยร้าว แผลเป็น
ที่เค้าคงไม่อาจลืมมันได้   ...... ตลอดไป




__._,_.___

อย่ากินผมเลย ! กลอนสะกิดใจ

อย่ากินผมเลย ! กลอนสะกิดใจ
 
 
 
สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว
 
เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง
 
เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง
 
เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ
 
เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน
 
อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน
 
ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน
 
ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา
 
สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา
 
ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน
 
มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน
 
เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น
 
พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น
 
เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี
 
มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี
 
ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน
 
เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์
 
ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน
 
 
 
ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
 
 
 
 
 
 
 
ใครๆ ก็ไม่รักผม
 

สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว
 
เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง
 
เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง
 
เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ
 
เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน
 

บริโภคเนื้อสัตว์ กับการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้

การบริโภคเนื้อสัตว์ กับการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้

 นอกจากโรคหัวใจก็มีเจ้าโรคมะเร็งนี้แหละที่คนส่วนใหญ่กลัวกัน เพราะเมื่อเป็นแล้วมีข้อจำกัดมากมายในการดูแลรักษาเป็นอย่างมาก ดังนั้นวิธีการรักษามะเร็งที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งนี่แหละเป็นวิธีที่ดีที่สุด
คงเข้าทำนองที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน" และที่สำคัญการป้องกันนั้นง่ายกว่าการรักษามากเลยทีเดียว ที่ง่ายที่สุดก็คือ เรื่องอาหารการกิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญตัวหนึ่งที่เพิ่มโอกาส เสี่ยงการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
เนื้อสัตว์ไม่ว่า จะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเป็ด-ไก่ มีผลจากการวิจัยของศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยโลมา-ลินดา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยมีรายงานการวิจัยว่า เนื้อสัตว์ทั้งหลายไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอัตราเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ล้วนมีความเสี่ยงพอ ๆ กัน โดยมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งมากกว่าพวกที่กินมังสวิรัติที่ไม่กินเนื้อเลยถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งกินบ่อย และปริมาณมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น รวมถึงการกินเนื้อสัตว์ที่มีการปิ้งย่าง เนื้อที่มีส่วนไหม้เกรียม ตัวอย่างจากผลการวิจัยผู้ที่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 4 มื้อ จะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสูงกว่าปกติถึงร้อยละ 200 ในคนที่ทานเนื้อสัตว์ 1-2 มื้อต่อสัปดาห์มีโอกาสเสียงกว่าปกติร้อยละ 38
ผู้วิจัยเชื่อว่าการกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มาก ๆ มีความถี่มากเท่าใด และไม่ว่าชนิดใด จะเป็นสาเหตุสำคัญในการเพิ่มโอกาสต่อการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารมากขึ้น ยิ่งในรายที่มีอาการท้องผูกร่วมด้วยจะยิ่งไปเพิ่มโอกาสการหมักหมมของซากโปรตีนจากสัตว์ในลำไส้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสเพิ่มและตกค้างของสารพิษซึ่งเป็นตัวหนึ่งที่มีโอกาสกระตุ้นให้เกิดโอกาสเกิดมะเร็งสูงขึ้นด้วย ในกรณีที่หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ อย่างน้อยควรพยายามอย่าให้มีกากโปรตีน จากเนื้อสัตว์ค้างในลำไส้ อย่าพยายามทำให้เกิดท้องผูก
พยายามขจัดกากออกให้เร็วที่สุดเป็นประเด็นหนึ่งในระบบชีวจิตที่มีการเน้นให้มีการทำ ดีท็อกซิฟิ-เคชั่น หรือการขจัดสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ วิธีการขจัดสารพิษออกจากร่างกายมีหลายวิธี ยากง่ายให้ผลมากน้อยแตกต่างกันไป ตามความสะดวก พฤติกรรมการบริโภคที่มีผลต่อความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ในบ้านเราตามปกติแล้วจะชินกับการทานอาหาร 3 มื้อมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อขาดการทานมื้อใดมื้อหนึ่งไป เมื่อถึงเวลาด้วยความเคยชินก็จะหลั่งน้ำย่อยออกมา เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย ผนังกระเพาะ และลำไส้ก็มีส่วนถูกย่อยด้วยกรดจากน้ำย่อย
ดังนั้น ควรทานอาหารให้ครบมื้อและตรงเวลา การฝึกในการลดอาหารหรือลดจำนวนมื้อในแต่ละวันควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ร่างกาย มีปรับตัวได้ทันและไม่ทำอันตรายต่อระบบย่อยอาหารของเราเอง คนที่มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบ่อย เป็นเพราะมีการทานอาหารในแต่ละมื้อนั้น
มากเกินไปหรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้สัดส่วนของอาหารและน้ำย่อยไม่เพียงพอ ทำให้เหลืออาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่หมดเหลือมาก เพียงลองลดอาหารในแต่ละมื้อลง เปลี่ยนมาทานให้บ่อยขึ้นหรือเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมากขึ้น จะช่วยให้การย่อยอาหารสมบูรณ์ขึ้น กระเพาะและลำไส้ไม่ต้องทำงานหนัก

ปริมาณอาหารที่พอดีในแต่ละคนมีวิธีสังเกตง่าย ๆ คือ คนที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปมีส่วนสูงประมาณ 165 ซม. ในผู้ชายควรมีน้ำหนักมาตรฐาน 63 +/- 5 กิโลกรัม ในผู้หญิงควรมีน้ำหนักประมาณ 56 +/- 5 กิโลกรัม ถ้ามีน้ำหนักน้อยหรือมากกว่ามาตรฐานแสดงว่าการรับประทานในแต่ละวันไม่สมดุล โดยอาจไม่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย
คนที่มีอาการเบื่ออาหาร อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด ทำให้กินอาหารไม่ตรงเวลา การกินในปริมาณมากเกินไปในขณะที่กระเพาะลำไส้ไม่ทำงาน บางคนกระเพาะลำไส้ทำงานมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการกินอาหารไม่ทันใด ก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ
การดื่มชากาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเยอะ จะไปกระตุ้นให้กรดออกมาเยอะ การสูบบุหรี่จัดมีผลให้กระเพาะบีบตัวได้ไม่ดี หูรูดของกระเพาะที่ต่อกับหลอดอาหารและกระเพาะกับลำไส้เปิด-ปิดได้ไม่ดี เกิดอาการกรดในกระเพาะล้นพ้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารได้ทำให้รู้สึกหน้าอกแสบร้อนได้
ดังนั้นการลดกาแฟหรือบุหรี่ลง กินอาหารรสไม่จัด สักประมาณ 1 อาทิตย์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ การปล่อยให้เป็นลักษณะนี้ไปนานๆอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้



นิตยสาร Medical Upgrade ฉบับ 010